การเรียนรู้เป็นส่วนสำคัญของชีวิตและความสำเร็จ มนุษย์ทุกคนล้วนต้องเรียนรู้และเติบโตอยู่เสมอ
แต่แค่ชอบเรียนรู้ไม่เพียงพออีกต่อไปแล้ว เพราะเรามีสิ่งที่ต้องเรียนรู้เยอะเหลือเกินในเวลาอันสั้น ดังนั้น การเรียนรู้เราจะไปได้เร็วขึ้นมาก ถ้าเกิดเรารู้เทคนิคเรียนรู้เร็ว
ซึ่งวันนี้ผมจะมาแบ่งปัน 7 เทคนิคเรียนรู้เร็ว
ลองนำเทคนิคเหล่านี้ไปใช้กันดูนะครับ รับว่าการเรียนรู้ของเราจะเร็วขึ้นกว่าเดิมอย่างแน่นอน (ป.ล. คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนล้วนรู้เทคนิคที่จะช่วยให้ตัวเองเรียนรู้เร็วกันทั้งนั้น)
หวังว่าบทความนี้จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะช่วยเพื่อน ๆ ได้นะครับ 🙌
7 เทคนิคเรียนรู้เร็วที่ใช้ได้กับทุกทักษะ
เริ่มต้นด้วยทำไม

ในหนังสือ Start With Why ผู้เขียน Simon Sinek ได้เขียนไว้ว่า “จงเริ่มต้นด้วยทำไมเสมอ”
ในการเรียนรู้ก็เช่นกันครับ เราต้องเริ่มด้วยถามตัวเองว่า “ทำไมถึงอยากจะเรียนรู้สิ่งนี้” เสมอ เพราะ “เหตุผล” จะทำให้เรามีแรงจูงใจในการเรียนรู้และไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
ตัวอย่างเช่น ลองนึกย้อนกลับไปตอนเราเรียนในโรงเรียนดูสิครับ เราแทบทุกคนล้วนรู้สึกเหมือนกันคือ เบื่อ ไม่มีแรงจูงใจในการเรียนรู้ เพราะเราไม่เหตุผลว่าจะเรียนไปทำไม
ดังนั้น กลยุทธ์ที่ 1 ทุกครั้งที่จะเรียนรู้ทักษะใหม่ ๆ ให้สละเวลาสักนิด เขียนคำถามและคำตอบลงบนกระดาษว่า
- “ทำไมทักษะนี้จึงสำคัญสำหรับฉัน?” คำตอบ ……………
- “ถ้าเรียนทักษะนี้แล้ว ชีวิตของฉันจะดีขึ้นอย่างไรบ้าง?” คำตอบ ……………
และทุกครั้งที่รู้สึกท้อแท้ หมดกำลังใจ ก็ขอให้เรากลับมาอ่านทั้ง 2 คำถามนี้นะครับ มันจะช่วยจุดไฟให้เราอีกครั้งได้
โฟกัสที่วิธีการ
เมื่อเราจะเริ่มเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เรามักนึกว่า เราต้องลงมือทุ่มเททำให้มาก ให้หนัก ให้เยอะเข้าไว้ แต่สิ่งเหล่านี้ไม่ได้การันตีความสำเร็จในการเรียนรู้เร็วเสมอไป สิ่งสำคัญคือ วิธีการต่างหาก ถ้าเราเรียนรู้ด้วยวิธีที่ไม่มีประสิทธิภาพ ถึงใช้เวลาทุ่มเทแค่ไหนก็จะช้ากว่าคนที่ใช้วิธีการที่เจ๋งกว่า
ตัวอย่างเช่น มีคนสองคนจะเดินทางไปเชียงใหม่ เส้นทางเหมือนกันเลย เริ่มต้นจุดเดียวกัน และไม่ว่าทักษะและความมุ่งมั่นทั้งสองคนจะแตกต่างกันแค่ไหน ถ้าอีกคนปั่นจักรยาน แต่อีกคนขับรถแลมโบกินี่ คิดว่าใครจะไปถึงก่อนกันครับ แน่นอนว่าถึงแม้คนปั่นจักรยานจะขยันแค่ไหน ทุ่มเทแค่ไหน ยังไงคนขับแลมโบกินี่ย่อมไปถึงเชียงใหม่ก่อนอย่างแน่นอน
เช่นเดียวกันกับการเรียนรู้ วิธีการคือยานพาหนะที่จะพาเราไปในสถานที่ที่เราต้องการ เช่น ไปขอคำแนะนำคนที่มีความรู้ เชี่ยวชาญด้านที่เรากำลังจะเรียนรู้ หรือลงเรียนคอร์สเพื่อมองหาทางลัดในการเรียนรู้กับอีกคนนั่งงมหาข้อมูลเอง ฝึกฝน ทุ่มเททั้งวัน ทั้งคืน สุดท้ายแล้วคนที่แรกย่อมเรียนรู้ได้เร็วกว่าอย่างแน่นอน
ดังนั้น จงโฟกัสที่วิธีการที่จะให้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด ไม่ใช่ที่จำนวนชั่วโมง
ใช้กฎ 80/20
กฎ 80/20 ถูกนำเสนอโดยนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลีที่ชื่อว่า Vilfredo Pareto เขาอธิบายว่า “80% ของผลลัพธ์มักมาจากความพยายามของเราเพียง 20% เท่านั้น” หมายความว่า ผลลัพธ์ที่เราได้มักจะมาจากการกระทำเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่สำคัญที่สุด ซึ่งกฎนี้ไม่ได้ใช้เฉพาะในวิชาเศรษฐศาสตร์ ยังสามารถนำมาใช้กับชีวิตด้านอื่น ๆ รวมถึงการเรียนรู้ด้วยครับ (สำหรับใครอยากเข้าใจกฎ 80/20 มากยิ่งขึ้น ผมได้เขียนไว้ที่บทความ กฎ 80/20 คืออะไร? กฎที่จะช่วยให้ทำน้อย แต่ประสบความสำเร็จมากขึ้น)
ในการเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ แทนที่เราพยายามเรียนรู้ทุกสิ่ง เราเลือกเรียนรู้เฉพาะสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่จะส่งผลต่อผลลัพธ์มากที่สุดเพียง 20% เท่านั้น
เช่น หากต้องเรียนรู้ภาษาอังกฤษ เราก็ต้องเริ่มต้นด้วยการมี mindset ว่า เราไม่จำเป็นต้องเรียนรู้ทุกคำศัพท์ ให้หาคำศัพท์ที่ใช้สื่อสารในชีวิตประจำวันบ่อย ๆ เพียง 20% ออกมา แล้วฝึกฝนพูดกับคำศัพท์เหล่านั้น ส่วนที่เหลืออีก 80% ให้ตัดทิ้ง หรือถ้าคนมีเงินทุนหน่อย ก็บินไปอยู่ประเทศที่ใช้ภาษานั้น ๆ เลย
โดยสรุปก็คือเป็นวิธีคิดที่ทุกครั้งจะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ให้เราหันความคิดตัวเอง มองหาว่ามีวิธีไหนที่ทำแล้วจะให้ผลลัพธ์ดีที่สุดบ้าง แล้วมุ่งตรงไปวิธีนั้น
เรียนรู้จากการลงมือทำ
ตามทฤษฎีพีระมิดแห่งการเรียน (The Pyramid Learning) นักวิจัยจาก NTL Institute พบว่าวิธีการเรียนรู้แบบไหนที่จะฝังรากลึกเข้าในสมองเรามากที่สุด พูดง่าย ๆ ก็คือ วิธีไหนทำให้เราเรียนรู้ได้ดีที่สุด

วิธีที่ 1 เรียนรู้ผ่านการบรรยาย เราจะจำได้ 5%
วิธีที่ 2 เรียนรู้ผ่านการอ่าน เราจะจำได้ 10%
วิธีที่ 3 เรียนรู้ผ่านการดูภาพและฟังเสียง เราจะจำได้ 20%
วิธีที่ 4 เรียนรู้ผ่านการเห็นตัวอย่าง เราจะจำได้ 30%
วิธีที่ 5 เรียนรู้ผ่านการพูดคุยแลกเปลี่ยน เราจะจำได้ 50%
วิธีที่ 6 เรียนรู้ผ่านการลงมือทำ เราจะจำได้ 75%
วิธีที่ 7 เรียนรู้ผ่านการสอนคนอื่น เราจะจำได้ 90%
แน่นอนว่าในช่วงเริ่มต้น มันอาจจะยากและเรารู้สึกไม่มั่นใจที่จะไปสอนคนอื่น ดังนั้น วิธีการที่เหมาะที่สุดคือ การเรียนรู้จากการลงมือทำด้วยตัวเองก่อน
ลองนึกย้อนกลับไปวิธีการที่เราเรียนรู้จะปั่นจักรยาน (ตัวอย่างคลาสสิก) แทนที่เราจะดู vdo สอนหรืออ่านหนังสือเกี่ยวกับมัน เราเรียนรู้ผ่านการไปฝึก สัมผัสจักรยานจริง ลงมือปั่นจริง เราล้ม ผิดพลาด ลุกขึ้นใหม่ สุดท้ายเราก็สำเร็จ
เพราะอะไรวิธีการนี้ถึงได้ผลลัพธ์ที่ดี ก็เพราะว่าการเรียนรู้จากการลงมือทำ จะมอบประสบการณ์และความมั่นใจว่า แบบไหนเป็นสิ่งที่ถูก แบบไหนเป็นสิ่งที่ผิด ซึ่งทำให้เราเรียนรู้และพัฒนาได้อย่างรวดเร็ว
ดังนั้น เมื่อจะเริ่มเรียนรู้ทักษะอะไร ลองลงมือทำจริงไปก่อนเลย หรือถ้ากลัวก็คิดว่าชิมลาง ๆ ทำไปก่อน แล้วเราจะค่อย ๆ กลับมาหาข้อมูลเพิ่มเติมได้
สอนคนอื่น

เทคนิคเรียนรู้เร็วที่เป็นทางลัดที่ดีที่สุดคือให้สอนคนอื่น
อย่างข้อที่ 4 เราพูดถึงพีระมิดการเรียนรู้ การสอนคนอื่นทำให้เราจำได้ถึง 90% เพราะอะไร?
เพราะการสอนคนอื่น มันบังคับให้เราต้องดึงศักยภาพของตัวเองออกมาให้มากที่สุด
เรากลัวจะสอนคนอื่นได้ไม่ดี (ออกแนวกดดันเบา ๆ แต่เป็นการกดดันเพื่อให้เราเติบโต) เมื่อเรากลัว เราจึงพยายามเรียนรู้ให้มากที่สุด และทำให้ความรู้เหล่านั้นเป็นระบบ ระเบียบ เพื่อจะอธิบายให้คนอื่นเข้าใจได้ง่ายที่สุด
ดังที่อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ กล่าวไว้ว่า “ถ้าคุณไม่สามารถอธิบายง่าย ๆ แสดงว่าคุณไม่เข้าใจมันดีพอ”
พูดง่าย ๆ ว่าระหว่างก่อนจะสอน ตอนเตรียมข้อมูลนั้นแหละ เราจะได้เรียนรู้ไปในตัว
เช่น เราเรียนรู้การพูดมา เราก็นำไปสอน ไปแชร์ให้เพื่อน ๆ ได้ฟังด้วย หรือเรียนคำศัพท์อังกฤษใหม่มา 10 คำ ก็นำ 10 คำนี้ไปแชร์ ไปเล่าให้เพื่อน ๆ ให้คนรอบข้างฟัง
หรืออีกเทคนิคสำหรับคนไม่กล้าสอนคนอื่น ให้สมมุติว่าเรากำลังสอน (แต่พูดอยู่คนเดียว) ก็ได้ (ผมใช้บ่อย ๆ ครับ)
แยกย่อยทักษะ
เมื่อเรามีเป้าหมายว่าจะเรียนรู้ทักษะไหนแล้ว สามารถใช้กลยุทธ์นี้ โดยเริ่มต้นจากให้เขียนชื่อทักษะที่ต้องการเรียนรู้ แล้วย่อยเป็นทักษะเล็ก ๆ ที่จะต้องใช้ฝึก
ตัวอย่างเช่น อยากเรียนรู้ทักษะการพูดในที่สาธารณะ เราสามารถย่อยได้
- ทักษะภาษากาย
- ท่าทางมือ
- การสบสายตา
- ท่าทางการเดิน
- จังหวะการเดิน
- ทักษะการนำเสนอ
- การเขียนเนื้อหาในสไลด์
- การออกแบบ
- การจัดเนื้อหา
- ทักษะการพูด
- โทนน้ำเสียงและสไตล์
- ปริมาณการพูด
- ความเร็วและจังหวะ
การแยกออกมาแบบนี้จะช่วยให้เรามีโฟกัสมากขึ้น แยกแยะทักษะที่ต้องเรียนรู้และไม่จำเป็นต้องเสียเวลาไปเรียนรู้ออกจากกันได้ แถมเมื่อฝึกแต่ละทักษะย่อยเสร็จ เราจะมีแรงจูงใจ อยากฝึกทักษะย่อยอื่น ๆ ต่ออีกด้วย เพราะได้สัมผัสถึงความสำเร็จ
เรียนรู้จากผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริง

ไม่ว่าต้องเรียนรู้ทักษะไหน วิธีที่จะช่วยให้เรียนรู้เร็วที่สุดและเป็นทางลัดที่สุดคือ การหาคนที่ได้ผลลัพธ์ที่เราต้องการแล้ว
นี่เป็นเหตุผลที่นักธุรกิจระดับโลก ผู้ประสบความสำเร็จระดับสูงทุกคนล้วนมีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกเขามีโค้ชหรือผู้เชี่ยวชาญไว้แนะนำ เพราะพวกเขารู้ว่า ประสบการณ์ของคนที่ผ่านมาแล้วเป็นสิ่งที่มีค่ามหาศาลที่จะช่วยให้พวกเขาไม่ต้องไปลองผิด ลองถูก เสียเวลาเปล่า
อย่างสมัยก่อน ผมเชื่อว่าเวลาจะเรียนรู้อะไร เราต้องลุยด้วยตัวเอง หาข้อมูล เรียนรู้ด้วยตัวเองให้เต็มที่ก่อน ถึงจะค่อยไปขอคำปรึกษาจากคนที่เชี่ยวชาญ แต่สิ่งที่ผมได้เรียนรู้คือ มันเสียเวลามาก ๆ ที่จะเราไปเริ่มเรียนรู้ด้วยตัวเอง (ยากและเสียเวลามาก)
แทนที่เราจะไปเสียเวลาหลายชั่วโมง หลายวัน หรือแม้แต่หลายเดือนในการไปหาข้อมูล เรียนรู้เอง สู้เราไปถามคนเชี่ยวชาญเพียงไม่กี่ประโยค ก็สามารถย่นระยะเวลาการเรียนรู้ของเราได้มหาศาล
ซึ่งผมมีเทคนิคมาฝาก เวลาจะถามใครเพื่อขอคำแนะนำ ให้ถาม 3 คำถามนี้
- ถ้าย้อนกลับไปช่วงเริ่มต้นของการฝึกทักษะนี้ อยากย้อนกลับไปแก้ไขอะไรบ้าง?
- ถ้าจะแนะนำ ข้อผิดพลาด 3 ข้อที่ควรระวังคืออะไร?
- ถ้าผม/ฉัน จะเริ่มเรียนรู้หรือฝึกทักษะนี้ สิ่งหนึ่งอยากจะแนะนำคืออะไร?
แต่หากเราไม่มีคนที่เชี่ยวชาญด้านนั้นอยู่ใกล้ตัว เราสามารถใช้อินเทอร์เน็ต เช่น ลงเรียนคอร์ส หาหนังสือมาอ่าน ไป inbox ถามคนนั้นในเพจ หรือโพสต์ในกลุ่มที่คนสนใจเรื่องนั้นอยู่เยอะ ๆ ก็ได้ครับ
บทสรุป
การเรียนรู้เป็นส่วนสำคัญที่ขาดไม่ได้แล้ว โดยเฉพาะในยุคต่อจากนี้ไป คนที่ไม่สามารถเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ ได้ หลายคนจะตกขบวน เพราะปรับตัวไม่ทัน
ดังนั้นพวกเราอย่าหยุดค้นหาโอกาสที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ กันนะครับ
และยิ่งเรามีเทคนิคเรียนรู้เร็ว เราก็จะยิ่งไปได้เร็วและไกลขึ้นครับ
หวังว่าบทความนี้จะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อน ๆ นะครับ
แล้วพบกันที่ปลายทางของความสำเร็จครับ! 💪
Leave a Comment