ถ้าหากเรากำลังมองหาว่าเราเกิดมาเพื่ออะไร? เหตุผลของการเกิดมาคืออะไร? ภารกิจและจุดประสงค์ของชีวิตคืออะไร? แสดงว่าเรากำลังมองหาสิ่งที่เรียกว่า อิคิไก (Ikigai)
เราตื่นขึ้นมาด้วยนาฬิกาปลุกและอยากเอื้อมมือออกไปปิดมันทุก ๆ เช้าหรือเปล่า เราตื่นมาเพียงเพื่อใช้ชีวิตให้หมดไปอีกหนึ่งวันหรือเปล่า?
พวกเราแต่ละคนต่างมีเหตุผลถูกจับมาวางไว้บนโลกใบนี้ แต่หลายคนพบว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะรู้ว่าภารกิจและจุดประสงค์ของการเกิดขึ้นมาครั้งนี้คืออะไร นี่คือปัญหาที่ต้องแก้ไขด่วนที่สุด
เพราะถ้าเราไม่รู้ว่าเราภารกิจอะไรในชีวิต มันยากที่เราจะมีความสุขและเติมเต็มได้
การค้นหาอิคิไก (Ikigai) ของตัวเองจึงเป็นภารกิจพื้นฐานสำหรับทุกคนที่อยากจะมีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขซึ่งเต็มไปด้วยความหมาย
ในบทความนี้ เราจะลงรายละเอียดเกี่ยวกับอิคิไกกันครับ หวังว่าทุกคนจะได้รับประโยชน์และเข้าใจอิคิไกมากยิ่งขึ้นครับ 🙌
ความหมายของอิคไก (Ikigai)
อิคิไกเป็นแนวคิดที่มาจากผู้คนบนเกาะเล็ก ๆ ในจังหวัดโอกินาวา ประเทศญี่ปุ่น เป็นแนวคิดที่มีมาร่วมกว่าพันปีแล้ว ตั้งแต่ในยุคเฮอัน ค.ศ. 749-1185 โดยแรกเริ่มนั้น อิคิไก (Ikigai) มาจากคำว่า ikikai หรือที่แปลว่า “เปลือกหอย” ในยุคนั้นเปลือกหอยเป็นสิ่งที่มีค่าอย่างมาก
โอกินาวายังได้เป็นสมาชิกของ โซนสีน้ำเงิน (Blue Zone) ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ผู้อยู่อาศัยมีอายุยืนยาวกว่าค่าเฉลี่ยอายุขัยของคนทั่วโลก
ปัจจุบันคำว่าอิคิไก (生き甲斐) ถูกใช้อธิบายถึงความสุขและความหมายของชีวิต ประกอบด้วย อิคิ (แปลว่ามีชีวิต) และ ไก (แปลว่าเหตุผล) ซึ่งถูกนำไปใช้ในหลากหลายบริบท ใช้กับเรื่องเล็ก ๆ ในชีวิตจนถึงเรื่องเป้าหมายและความสำเร็จในชีวิต
อิคิไกเป็นคำธรรมดาสามัญที่คนทั่วไปใช้กันในชีวิตประจำวัน
อิคิไก (Ikigai) คืออะไร?
แนวคิดเรื่องอิคิไก (Ikigai) นั้นค่อนข้างยากที่จะแปลเป็นภาษาใด ๆ ตรง ๆ แต่เนื้อความของมันคือสิ่งที่ให้ความหมายกับชีวิตของเรา สิ่งที่ทำให้เราตื่นขึ้นทุกเช้าด้วยความปีติยินดี และทำให้เรามีความสุข หรือจะพูดว่า อิคิไกคือแหล่งซึ่งนำความสุขมาสู่ชีวิตเราก็ได้
นอกจากนี้ อิคิไกยังมีความหมายอีกหลากหลาย เช่น สามารถเป็นจุดหมายปลายทางหรือจุดมุ่งหมายได้ เปรียบเสมือนลายแทงนำทางชีวิต หมายความว่า แต่ละคนจะมีภารกิจในชีวิต ซึ่งมนุษย์ทุกคนนี้ชีวิตอยู่เพื่อภารกิจนี้
บางครั้งอิคิไกก็ถูกใช้ในความหมายของการเป็นเหตุผลที่จะตื่นขึ้นในตอนเช้า ซึ่งมีความหมายทั้งต่อตัวเองและผู้อื่น มันคือสิ่งกระตุ้นให้ดำเนินชีวิตต่อไป หรือเป็นสิ่งที่ให้รสชาติกับชีวิต ทำให้กระตือรือร้นอยากตื่นขึ้นมาทุกวัน
อิคิไกเป็นทั้งแหล่งกำเนิดความสุขและเป็นจุดมุ่งหมายในชีวิตและเป็นเหตุผลของการมีชีวิตอยู่
แต่มีหนึ่งวิธีที่ดีที่สุดที่จะสรุปภาพรวมของอิคิไกที่ครอบคลุมและเข้าใจง่ายที่สุดคือ แผนภาพ Ikigai Venn
แผนภาพอิคิไก (Ikigai Venn)
อิคิไกคือปรัชญาโบราณที่คิดขึ้นโดยปราชญ์แห่งโอกินาวา ซึ่งได้ให้ปรัชญา แนวคิด และสร้างคำว่าอิคิไกขึ้นมา แต่ด้วยมันเป็นปรัชญาที่ลึกซึ้ง และตีความได้ยาก จึงมีชายผู้ชื่อว่ามาร์ก วินน์ได้นำแนวคิดของอิคิไกมาตีความให้ทันสมัยขึ้นกลายเป็น “แผนภาพเวนน์”
จนทำให้ อิคิไกได้กลายเป็นที่รู้จักและเข้าถึงผู้คนได้ทั่วโลกในรูปแบบที่เข้าใจได้ง่าย ๆ
![อิคิไก (Ikigai) คืออะไร? ปรัชญาเพื่อชีวิตที่มีความหมาย [ฉบับสมบูรณ์]](https://themeaningful.co/wp-content/plugins/wp-fastest-cache-premium/pro/images/blank.gif)
แผนภาพนี้จะเป็นเหมือนลายแทงในการค้นหาอิคิไกของเรา โดยแบ่งออกเป็น 4 หลัก
1. สิ่งหลงใหล (Passion): ทำในสิ่งที่คุณรัก (Do what you love)
ในพื้นที่ส่วนนี้คือ ส่วนที่เราทำหรือประสบการณ์อะไรที่ทำให้เรามีความสุขที่สุดในชีวิต ทำให้เรารู้สึกมีชีวิตชีวาและเติมเต็มมากที่สุด
สิ่งที่เราหลงใหลในแง่นี้อาจจะเป็นการเขียน การร้องเพลง การวิ่ง การศึกษาประวัติศาสตร์ การทำอาหาร เป็นต้น
2. อาชีพ (Vocation): ทำในสิ่งที่คุณถนัด เก่ง หรือทำได้ดี (Do what you’re good at)
ในพื้นที่ส่วนนี้คือ ส่วนที่เราเก่งเป็นพิเศษ เช่น ทักษะที่เราได้เรียนรู้ สะสมมา งานอดิเรกที่เราใฝ่หา ความสามารถที่เราแสดงออกมาตั้งแต่อายุยังน้อย เป็นต้น
สิ่งที่เราถนัดอาจจะเป็น การเล่นเปียโน การร้องเพลง การเล่นกีตาร์ การพูด การเข้าใจความรู้สึกของคนรอบข้าง กีฬา หรือการวาดภาพ เป็นต้น
3. ภารกิจ (Mission): ทำในสิ่งที่โลกต้องการ (Do what the world needs)
อะไรคือภารกิจในการเกิดมาในชีวิตนี้ของเราที่อยากจะทำให้กับโลกใบนี้
คำว่าโลกในที่นี้อาจเป็นเพื่อนมนุษย์โดยรวม ชุมชนบริเวณรอบบ้านของเรา หรือประเทศของเราก็ได้
โลกใบนี้ยังมีปัญหาอีกมากมายนับล้านที่รอให้คนอย่างเราคิดหาวิธีแก้ปัญหาให้ ถ้าเราค้นเจอสิ่งเหล่านี้ โอกาสจะเป็นของเรา
4. ความชำนาญ (Profession): ทำในสิ่งที่จะมีคนยอมจ่าย (Do what you can be paid for)
สิ่งที่ผู้คนยินดีที่จะจ่ายเงินให้เราหรือสิ่งที่ตลาดต้องการให้เราแก้ปัญหาให้ เราอาจจะหลงใหลในการเขียนบทกวีหรือปีนเขาเก่งมาก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะมีคนยินดีจ่ายเงินให้เสมอไป
การที่จะมีคนยินดีจ่ายเงินให้จากความสนใจหรือพรสวรรค์ของเรานั้น ขึ้นอยู่กับปัจจัยหลาย ๆ อย่าง ไม่ว่าจะเป็นสภาวะเศรษฐกิจ หรือความสามารถที่เรามีเป็นที่ต้องการหรือไม่

สิ่งที่หลงใหล (Passion) อาชีพ (Vocation) ภารกิจ (Mission) และความชำนาญ (Profession) ล้วนอยู่ในวงกลมแผนภาพเวนน์ที่ซ้อนทับกันสี่วง ของสิ่งที่รัก สิ่งที่ทำได้ดี สิ่งที่โลกต้องการ และสิ่งที่ได้รับรางวัลตอบแทน และ “จุดที่น่าสนใจ (Sweet Spot)” คือจุดที่ตัดทั้ง 4 วง ถ้าเราพบจุดนี้แสดงว่าเราค้นพบ Ikigai ของตนเองแล้ว
ทำไมคนเราถึงต้องรู้อิคิไก
นักสังคมวิทยา นักวิทยาศาสตร์ และนักข่าวหลายคนได้ค้นคว้าและตั้งสมมติฐานถึงประโยชน์และความจริงที่อยู่เบื้องหลังปรากฏการณ์นี้โดยเฉพาะ และพวกเขาก็ได้ข้อสรุปที่น่าสนใจหลายประการ ทฤษฎีหนึ่งโดยเฉพาะคือ อิคิไกสามารถทำให้เรามีอายุยืนยาวขึ้นและมีจุดมุ่งหมายในชีวิต
ในเดือนกันยายนปี 2017 รายการทีวียอดนิยมของญี่ปุ่นชื่อว่า Takeshi no katei no igaku ร่วมมือกับกลุ่มนักวิทยาศาสตร์เพื่อทำการวิจัยในเมืองเล็ก ๆ อย่างเคียวทั้งโกะในเกียวโต สถานที่มีประชากรผู้อยู่อาศัยส่วนใหญ่อายุเกิน 100 ปี ซึ่งโดยเฉลี่ยมากกว่า 3 เท่าเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ๆ
โดยการวิจัยนี้ต้องการทราบว่าผู้สูงอายุที่มีความสุขเหล่านี้มีสิ่งที่เหมือนกันในชีวิตประจำวันอะไรบ้าง จึงได้ติดตามคน 7 คนในวัย 90 และ 100 ปี ตั้งแต่เช้าจรดพระอาทิตย์ตก โดยมีการตรวจเลือด และตรวจสุขภาพโดยรวม
สิ่งที่พวกเขาพบคือ คนทั้ง 7 มีตัวเลขของฮอร์โมน DHEAs ที่สูงเป็นพิเศษ ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ได้ชื่อว่าเป็น “ฮอร์โมนอายุยืน”
และพบว่าพวกเขามีสิ่งหนึ่งที่เหมือน ๆ กัน นั่นคืองานอดิเรกที่พวกเขาสนใจและฝึกฝนมันทุกวัน เช่น หญิงคนหนึ่งใช้เวลา 2-3 ชั่วโมงทุกวันในการแกะสลักหน้ากากแบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น ผู้ชายอีกคนวาดรูป และอีกคนไปตกปลาทุกวัน (ซึ่งเราอาจเรียกได้ว่า งานอดิเรกคือ อิคิไกของพวกเขา)
ญี่ปุ่นอยู่ในอันดับที่ 2 ของโลกที่ผู้คนมีอายุขัยยืนยาวมากที่สุด โดยผู้หญิงเฉลี่ย 88.09 ปี และผู้ชายเฉลี่ย 81.91 ปี แม้ว่าอาหารการกินจะเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้พวกเขาอายุยืนก็จริง แต่คนญี่ปุ่นหลายคนเชื่อว่าอิคิไกมีส่วนเกี่ยวข้องกับการมีอายุยืนยาวและใช้ชีวิตอย่างมีความสุขด้วย
นอกจากการมีชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขมากขึ้นแล้ว การมีอิคิไกสามารถช่วยสิ่งเหล่านี้เราได้
- ออกแบบไลฟ์สไตล์การทำงานในอุดมคติของเรา
- สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับสังคม
- สร้างความสมดุลชีวิต การทำงานและสุขภาพ
- ได้ไล่ตามงานที่ใฝ่ฝัน
- สนุกกับการทำงาน
และอีกหนึ่งข้อมูล ได้มีการวิเคราะห์ข้อมูลกลุ่มตัวอย่างมากกว่า 50,000 คน ผลการศึกษาที่เมืองโอซากิให้ข้อสรุปว่า เมื่อเปรียบเทียบกับผู้มีอิคิไก ผู้ที่ไม่มีอิคิไกส่วนใหญ่ไม่ได้สมรส ไม่มีงานทำ ระดับการศึกษาต่ำ ประเมินสุขภาพตัวเองว่าไม่ดีหรือย่ำแย่ มีระดับความเครียดสูง มีความเจ็บปวดทางร่างกายรุนแรงหรือปานกลาง มีข้อจำกัดทางร่างกาย และไม่ค่อยมีโอกาสได้เดิน
ยิ่งเจออิคิไกได้เร็วเท่าไหร่ ก็จะรู้สึกสงบและพึงพอใจจากชีวิตได้เร็วขึ้นเท่านั้น ซึ่งทำให้เรามีสุขภาพที่ดีและอายุยืนยาว นี่คือเหตุผลที่เราควรหาอิคิไกของตัวเองให้พบเร็วที่สุด
และเราทุกคนไม่เคยสายเกินไปที่จะเริ่มมองหาอิคิไก
ตัวอย่างคนที่พบอิคิไกของตัวเอง
Jiro Ono
เขาเป็นที่รู้จักในฐานะเชฟซูชิที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลก ชีวิตของเขาได้ถูกสร้างเป็นสารคดี ใน Netflix ที่สร้างแรงบันดาลใจที่ชื่อว่า “Jiro Dreams of Sushi” เขาเริ่มทำงานในร้านอาหารซูซิตั้งแต่อายุ 7 ขวบ จนถึงปัจจุบันเขาอายุ 96 ปีแล้ว แต่เขาก็ยังทำงานอยู่
เขายังทุ่มเทอย่างเต็มที่ไม่เพียงแต่รักษาการทำซูซิไว้เท่านั้น แต่ยังพยายามพัฒนามันให้ดียิ่งขึ้นด้วย

เขาอุทิศชีวิตในการสร้างสรรค์นวัตกรรมและเทคนิคการทำซูซิให้ออกมาสมบูรณ์แบบมากที่สุด เขาเปิดร้านซูซิขนาดเล็ก ๆ ที่นั่งได้เพียง 10 ที่นั่งในกรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
เซฟ Jiro Ono ได้รับคะแนะระดับมิชลินสูงสุดคือ 3 ดาวอีกด้วย และถูกยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นเชฟซูซิที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
ในสารคดีเขาพูดเกี่ยวกับชีวิตและการทำงานของเขาไว้ว่า “คุณต้องตกหลุมรักงานของคุณ อุทิศชีวิตของคุณเพื่อฝึกฝนทักษะ ผมจะพยายามไปให้ถึงจุดสูงสุด แม้ไม่มีใครรู้ว่าจุดสูงสุดนั้นมันอยู่ตรงไหน”
นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่ค้นพบอิคิไกของตนเอง เขาอุทิศตนให้กับสิ่งที่รัก พยายามฝึกฝนพัฒนาให้เชี่ยวชาญ ใส่ใจทุกรายละเอียดอย่างปราณีต เพื่อมอบซูซิที่อาหารเป็นเลิศ และดีที่สุดให้แก่ผู้คน
Jane Goodall
เธอเป็นนักวานรวิทยา (วิชาว่าด้วยการศึกษาสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมชั้นสูงสุดได้แก่ ลิงและคน) ที่มีชื่อเสียงระดับโลก
Jane Goodall มีความหลงใหลในสัตว์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมาตั้งแต่ยังเด็ก ในช่วงอายุ 20 ต้น ๆ เธอตัดสินใจไล่ตามความหลงใหล โดยเขียนจดหมายถึง Louis Leakey นักมานุษยวิทยา ซึ่งเขาคิดว่าการศึกษาลิงในยุคปัจจุบันจะให้เบาะแสเกี่ยวกับพฤติกรรมที่ Jane สนใจ นั่นคือบรรพบุรุษของมนุษย์ในยุคแรก ๆ

ด้วยความช่วยเหลือของ Louis Leakey ก็ทำให้ Jane ได้ศึกษา ใกล้ชิดกับลิงในป่ามาตลอดทั้งชีวิต เธอมีทักษะสูงในการทำงานอย่างใกล้ชิดกับลิง เธอบันทึกความเฉลียวฉลาดและปฏิสัมพันธ์ทางสังคมของพวกมัน นอกจากนี้ เธอยังเป็นผู้สนับสนุนสิทธิสัตว์ คอยช่วยเหลืองลิงและสัตว์อื่น ๆ จากการทดลองที่เป็นอันตรายและกลุ่มคนที่จ้องจะทำลายแหล่งที่อยู่อาศัยของพวกมัน เพื่อป้องกันไม่ให้สัตว์เหล่านั้นสูญพันธุ์
ด้วยความหลงใหลของเธอ เป็นเวลากว่า 60 ปี เธอกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในสาขานี้ มีความรอบรู้ และสั่งสมประสบการณ์มาอย่างยาวนาน และหาเลี้ยงชีพกับมันได้
“แทบตลอดเวลา ฉันพบว่าตัวเองกำลังคิด คิดว่านี่คือที่ที่ของฉัน นี่คือเหตุผลที่ฉันเกิดมาบนโลกใบนี้ เพื่อทำมัน” – Jane Goodall
หรือตัวอย่างคนอื่น ๆ
- อาจารย์คาราเต้อายุ 102 บอกว่าอิคิไกของเขาคือการรักษาศิลปะการต่อสู้ชนิดนี้เอาไว้
- ชาวประมงอายุร้อยปีบอกว่าเขาพบอิคิไกในการออกไปจับปลาสัปดาห์ละ 3 ครั้ง เพื่อนำมาเป็นอาหารให้ครอบครัว
- หญิงชราอายุ 102 ปี บอกว่าอิคิไกของเธอคือการได้อุ้มลูกของเหลนสาวของเธอ
5 เสาหลักอิคิไก
นอกจากการตอบคำถาม 4 ข้อหลักแล้ว ยังมีอีก 5 เสาหลักที่จะช่วยส่งเสริมอิคิไกของเรา ซึ่งแนวคิดนี้มาจาก Ken Mogi นักประสาทวิทยาและผู้เขียนหนังสือ Awakening Your Ikigai เขาแนะนำให้เราโฟกัสไป 5 เสาหลัก
- เริ่มต้นเล็ก
เวลาจะเริ่มอะไรให้คิดเหมือนทารก การบรรลุเป้าหมายใด ๆ ต้องใช้เวลา ค่อย ๆ ก้าวไปทีละขั้น คนญี่ปุ่นเข้าใจดีว่าไม่มีทางที่จะบรรลุถึงความสมบูรณ์แบบได้ และพวกเขาให้คุณค่ากับกระบวนการ ความพยายาม ความทุ่มเท
- ยอมรับตัวเอง
การยอมรับตัวเองเป็นหนึ่งในงานที่สำคัญและยากที่สุดที่เราต้องเผชิญในชีวิต แต่แท้จริงแล้วมันเป็นหนึ่งในสิ่งที่คุ้มค่าที่เราสามารถทำเพื่อตัวเองได้
การปลดปล่อยตัวเองเป็นการค้นหาความสุขผ่านการยอมรับ จงยอมรับความเป็นตัวของตัวเอง และเลิกเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่น แล้วเราจะสามารถดำเนินชีวิตตามวิถีของตัวเองได้อย่างสบายใจ
- เชื่อมต่อกับโลกรอบตัวคุณ
ความยั่งยืนไม่ได้มีเพียงแค่มนุษย์กับธรรมชาติเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกิจกรรมที่เรามีกับสังคมด้วย
แม้ว่าทุกวันนี้เราอยู่ในสังคมที่อยู่คนเดียวได้ แต่ยังไงเราก็ต้องพึ่งพาคนอื่น ทุกสิ่งที่เราทำมีผลกระทบต่อชีวิตของคนอื่น
- แสวงหาความสุขเล็ก ๆ
ลองเริ่มต้นวันใหม่ด้วยการสัมผัสสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ แล้วรู้สึกซาบซึ้งไปกับมัน ชื่นชม มีความสุขกับสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ในชีวิตประจำวัน ดื่มด่ำ มีความสุขกับชาสักถ้วย กาแฟสักถ้วย การได้นั่งมองดอกไม้
สิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้ชีวิตเรามีความสุขคืออะไร? ลองค้นหามันดู
- อยู่ที่นี่และเดี๋ยวนี้
นี่อาจฟังดูง่าย แต่ในความเป็นจริง เป็นสิ่งที่ยากที่สุด เรามักจะคิดเกี่ยวกับอดีตและอนาคต อยู่ตลอดเวลา จนหลงลืมขณะปัจจุบัน
แต่ความสุขจะเกิดขึ้นได้ก็ด้วยการอยู่กับปัจจุบัน จงให้ความสำคัญกับปัจจุบันขณะ เพลิดเพลินกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า ณ ตอนนั้น ลองจากเวลากินอาหาร ให้ลองสัมผัสถึงรสชาติที่อาหารเข้ามาสัมผัสกับลิ้นของเรา
ตอนนี้เราได้รู้ 5 เสาหลักที่จะช่วยส่งเสริมอิคิไกและชีวิตมีความสุข มีความหมาย ก็ถึงเวลาให้เราลองค่อย ๆ ฝึกในแต่ละข้อ แล้วเราจะเข้าใกล้อิคิไกมากขึ้น และต่อไปจะเป็นกฎ 10 ข้อของอิคิไก
10 กฎของอิคิไก (Ikigai)
กฎอิคิไกทั้ง 10 ข้อนี้มีที่มาจากนักเขียนชื่อ Héctor García และ Francesc Miralles ที่ได้เขียนแบ่งปันทั้ง 10 กฎนี้ไว้ในหนังสือ IKIGAI: The Japanese Secret To a Long and Happy Life หรือแปลไทย อิคิไก: ความลับของชาวญี่ปุ่นสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุข
ผู้เขียนได้ทำการศึกษาชีวิตของผู้ที่อายุยืนยาวที่อาศัยอยู่หมู่บ้านเล็ก ๆ ในโอกินาวา เพื่อเข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลเบื้องหลังที่ทำให้พวกเขาอายุยืนยาว ซึ่งค้นพบว่าอิคิไกคือส่วนหนึ่งในนั้น
แต่ทั้ง 10 กฎนี้ไม่ใช่กฎที่ต้องปฏิบัติตามเพื่อให้ได้อิคิไก แต่เป็นคำแนะนำหรือนิสัยที่เราสามารถนำไปใช้เพื่อปรับปรุงสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี เพื่อให้เราค้นพบเป้าหมายในชีวิต และใช้ชีวิตตามอิคิไกของตัวเองได้
แอคทีฟตลอดเวลา และอย่าเกษียณ

การค้นหาคุณค่าของชีวิตไม่ได้ถูกกำหนดเฉพาะในช่วงเวลาของชีวิตการทำงานเท่านั้น แม้ชีวิตการทำงานจะสิ้นสุดแล้ว ก็จงแสวงหากิจกรรมทำต่อไป กิจกรรมที่ช่วยให้เรารู้สึกมีคุณค่าและมีเป้าหมายในชีวิต ซึ่งไม่ใช่เพื่อเงิน แต่เพื่อตัวเอง
ร่างกายและจิตใจของเรานั้นฉลาด ทันทีที่สูญเสียเป้าหมาย และเกษียณหยุดทำงาน พวกมันก็จะเกษียณเช่นกัน มันจะเฉาและไร้เรี่ยวแรง ดังนั้น จงอย่าเกษียณ หาอะไรให้ร่างกายได้ขยับ สมองได้แล่นอยู่ตลอด
ค่อยเป็นค่อยไป
ความเร่งรีบแปรผกผันกับคุณภาพของชีวิต ดังคำโบราณที่เคยกล่าวไว้ว่า “เจ้าจงเดินช้า ๆ แล้วจะไปได้ไกล”
เมื่อเราทิ้งวิถีชีวิตที่เร่งรีบไว้เบื้องหลัง ชีวิตและห้วงเวลาก็แปรเปลี่ยน มีชีวิตชีวาและมีความหมาย
หากเรารีบร้อน แสดงว่าเราไม่สามารถควบคุมตัวเองและตกอยู่ภายใต้ความตึงเครียด การทำสิ่งต่าง ๆ ให้ช้าลงหมายความว่าเราต้องมีสติมากขึ้นในการตัดสินใจ เราสามารถควบคุมสิ่งต่าง ๆ ได้มากขึ้น
เราสามารถชนะเกมชีวิตได้ด้วยการค่อย ๆ เดินอย่างช้า ๆ อ่อนโยนต่อสิ่งรอบตัว และเต็มไปด้วยความรู้สึกผ่อนคลาย
สิ่งดี ๆ ในชีวิตต้องใช้เวลาในการบ่มเพาะ จงมีความอดทน อย่าตอบโต้ตอบทันทีต่อผู้คนและสถานการณ์ และมองภาพระยะยาว
อย่ากินมากเกินไป

腹八分目に医者いらず สุภาษิตญี่ปุ่นที่แปลว่า “กินให้อิ่มเพียง 80% ไม่ต้องพบเจอหมอ”
เพื่อสุขภาพที่ดีและอายุที่ยืนยาว เราควรทานอาหารให้น้อยกว่าที่เราต้องการด้วยการใช้กฎ 80% คือ กินจนกว่าจะรู้สึกอิ่มประมาณ 80% หลังจากนั้นต้องหยุดกิน
สิ่งที่เรากินคือความรู้สึกของที่จะหล่อหลอมเป็นตัวเรา เช่น ถ้าเรากินเพื่อสุขภาพ เราจะคิดว่าสุขภาพดี และรู้สึกสุขภาพดี ในที่สุดเราก็จะสุขภาพดีจริง ๆ ในทางกลับกัน ถ้าเรากินมากเกินไป เรามักจะคิดมาก กังวล และรู้สึกหนักใจค่อนข้างง่าย ในที่สุด สุขภาพแย่ ๆ ก็จะเกิดขึ้นกับเรา
จงกินอาหารที่มีประโยชน์และควรน้อยกว่าความสามารถที่เรากินได้เพียงเล็กน้อยประมาณ 80% แล้วเราจะอายุยืนยาว
อยู่ท่ามกลางเพื่อนที่ดี
เพื่อนเป็นยาที่ดีที่สุด สำหรับการบอกเล่าความกังวล แบ่งปันเรื่องราวที่ทำให้วันของเราสดใส
หลายคนอาจจะบอกว่า ชีวิตฉันไม่มีอิคิไกเลย คำตอบนี้ชัดเจน คนที่แยกตัวเองออกจากผู้คน ยากที่จะค้นพบอิคิไกของตนเองได้ เพราะอิคิไกจะพบได้ในความสัมพันธ์ระหว่างบุคคลเท่านั้น
หากไม่มีความสัมพันธ์และมิตรภาพ เราก็ไม่สามารถสัมผัสกับความเชื่อมโยง ความใกล้ชิด หรือความรัก และไม่สามารถแบ่งปันความสุข ความหวัง ความทุกข์ ความเสียใจ และความกลัวของเราได้
กฎข้อนี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องเตือนใจถึงความสำคัญของการมีมิตรภาพที่ดี แทนที่จะใช้เวลาอยู่คนเดียว ดูหน้าจอมือถือมากกว่าเจอกับเพื่อน ๆ
เมื่อเราอุทิศเวลาให้กับมิตรภาพ มันจะนำคุณค่าและความหมายมาสู่ชีวิตของเรา
จงห้อมล้อมด้วยคนที่คอยเป็นมิตรต่อจิตใจและร่างกายของเรา คนที่เราอยู่ด้วยแล้วสบายใจ มีความสุข และเราก็ต้องเป็นคนที่ทำคนนั้นอยู่ด้วยสบายใจ และมีความสุขเช่นกัน แล้วเราทั้งสองจะกลายเป็นพลังงานที่ดีของกันและทำ
ออกกำลังกายทุกวัน

ไม่มีของขวัญชิ้นไหนที่ดีไปกว่าที่เราสามารถทำให้ตัวเองเท่ากับการออกกำลังกาย
ร่างกายต้องการการเคลื่อนไหวเพื่อให้รู้สึกว่ายังมีชีวิต เราต้องดูแลร่างกายของตัวเอง ขยับตัวเดินบ่อย ๆ ออกกำลังกายให้สม่ำเสมอ การออกกำลังกายยังหลั่งฮอร์โมนที่ทำให้เรารู้สึกมีความสุขอีกด้วย และจงทำให้มันเป็นวิถีชีวิตมากกว่าเป้าหมาย
ยิ้ม
รู้ไหมว่ายาอะไรที่ดีที่สุดในโลกใบนี้?
คำตอบคือ รอยยิ้ม มันเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังในการสร้างคลื่นแห่งความสุขในตัวเราและยังสร้างบรรยากาศเชิงบวกให้กับคนรอบข้างด้วย
อย่าพลาดโอกาสที่จะยิ้ม และยิ้มในทุกช่วงเวลาที่ยังมีลมหายใจ ยิ่งเรายิ้มบ่อยแค่ไหน รอยยิ้มนั้นจะมอบความรู้สึกดีและมีความสุขกับตัวเองและชีวิตมากขึ้นเท่านั้น
เชื่อมโยงกับธรรมชาติอีกครั้ง

แม้ในทุกวันนี้คนส่วนใหญ่อาศัยอยู่ในเมืองเป็นหลัก แต่มนุษย์เราถูกสร้างมาเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติ เราจึงมีความโหยหาจากภายในที่อยากจะไปเที่ยวธรรมชาติ สัมผัสธรรมชาติกันอยู่เสมอ
การกลับไปเชื่อมโยงกับธรรมชาติ บรรยากาศที่มีแต่ธรรมชาติเปรียบเหมือนการได้ชาร์ทแบตเตอรี่ และช่วยทำให้เรารู้สึกสงบ หล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของเรา
ใช้เวลาสักเดือนละครั้ง อาทิตย์ละครั้งออกไปพื้นที่ป่า แม่น้ำ ทะเลหรือสวนสาธารณะที่มีธรรมชาติ ไปสัมผัสมัน ได้รับกลิ่นมัน ไปฟังเสียงมัน แล้วเราจะรู้เหมือนได้เยียวยาภายใน พร้อมกลับมาต่อสู้กับชีวิตที่วุ่นวายอีกครั้ง
ขอบคุณ
การใช้เวลาในแต่ละวันเพื่อขอบคุณ จะทำให้เราซาบซึ้งกับสิ่งดี ๆ รอบตัวแม้เล็ก ๆ น้อย ๆ ได้ง่ายขึ้น และชื่นชมผู้คน สถานการณ์ ความสำเร็จตลอดจนความล้มเหลว พวกเขาทั้งหมดหล่อหลอมเราให้เป็นเราในวันนี้
นับตั้งแต่วันนี้ จงใช้เวลาในทุก ๆ วัน เพื่อกำหนดทัศนคติที่ซาบซึ้งต่อทุกสิ่งในชีวิต ค้นหาความงามในทุกสิ่ง แม้สิ่งนั้นจะเล็กน้อยมากแค่ไหนก็ตาม แล้วจะเห็นความสุขในชีวิตที่เพิ่มขึ้น
“ขอบคุณ” ควรเป็นคำที่เราใช้มากที่สุด
อยู่กับปัจจุบัน

ตั้งแต่วินาทีที่เราตื่นนอนจนถึงเวลาที่เราหลับไป เรากำลังดำเนินบทสนทนาภายในกับตัวเองอย่างต่อเนื่อง จิตของเราเคลื่อนจากความกังวลหนึ่งไปสู่อีกความกังวลหนึ่ง และเราลืมที่จะรับรู้ปัจจุบันขณะ
เมื่อเรานึกถึงที่นี่และตอนนี้ เราจะกังวลน้อยลงเกี่ยวกับอนาคตและจดจ่อกับสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานน้อยลง
อดีตควรจำไว้เป็นบทเรียนและความทรงจำที่มีความสุขเท่านั้น และอย่าให้ความกังวลในอนาคต มาพรากความสุขของตอนนี้
จงมีสติ และมีชีวิตอยู่ในแต่ละขณะ หยุดเสียใจกับอดีตและกลัวอนาคต วันนี้คือทั้งหมดที่เรามี ใช้ประโยชน์สูงสุดจากมัน ให้มีค่าควรแก่การจดจำ
เดินตามหาอิคิไกของตัวเอง
มีความหลงใหลในตัวคุณ พรสวรรค์ที่ไม่เหมือนใคร ซึ่งให้ความหมายกับวันของคุณ และผลักดันให้คุณแบงปันสิ่งที่ดีที่สุดของตัวเองให้แก่ผู้อื่นจนวันสุดท้าย สิ่งเหล่านี้เรียกว่า อิคิไก (Ikigai)
แต่ถ้าเรายังไม่รู้ว่าอิคิไกของตัวเองคืออะไร ไม่ต้องเสียใจ มันเป็นภารกิจของเราทุกคนที่ต้องค้นพบมันให้เจอ
กฎ 10 ข้อของอิคิไกเป็นเครื่องเตือนใจว่าเราสามารถออกแบบชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่าและความหมายและจุดประสงค์ได้
ถ้าเราทำกฎเหล่านี้ตั้งแต่วันนี้ รับรองว่าชีวิตเราจะมีความสุขมากขึ้นอย่างแน่นอน และไม่จำเป็นต้องทำทีเดียวทั้งหมด อาจจะจับมาสักข้อแล้วนำมาปรับใช้กับชีวิตประจำวันของเรา
3 ขั้นตอนค้นหาอิคิไก
ขั้นตอนที่ 1 ตั้งคำถาม
วิธีที่ง่ายที่สุดคือ การตั้งคำถามกับตัวเองจะช่วยให้เราพบเส้นทางอิคิไกของตนเองได้
ลองใช้เวลาเพื่อถามตัวเองด้วยคำถามหลัก 4 ข้อ และจงซื่อสัตย์ในคำตอบของตัวเอง
1. ฉันรักที่จะทำอะไร?
- เรามีความฝัน หรือสิ่งที่อยากจะทำสักครั้งในชีวิตไหม?
- อะไรที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเรา?
- อะไรที่เราทำแล้วไม่เคยเบื่อ?
- อะไรทำให้เรายิ้มและมีความสุขได้?
- เป้าหมายในชีวิตของเราคืออะไร?
- ตอนไหนที่เรารู้สึกมีความสุขที่สุด?
- มีสิ่งไหนที่เราทำจนลืมวันเวลา?
- อะไรที่ทำให้เรารู้สึกตื่นเต้น หัวใจเต้นแรง กระปรี้กระเปร่า?
- มีสิ่งไหนที่ทำอยู่ และจะทำต่อแม้ไม่ได้เงิน?
- เราอยากเรียนรู้อะไรที่ยังไม่รู้?
2. สิ่งที่โลกต้องการคืออะไร?
- เราสามารถทำอะไรหรือเสนออะไรที่จะให้คุณค่าแก่ผู้อื่นได้บ้าง
- เราจะช่วยเหลือผู้อื่นได้ยังไง?
- เราอยากช่วยแก้ปัญหาอะไรในสังคม?
- โลกใบนี้ยังขาดอะไร?
- เราอยากสร้างผลกระทบอะไรต่อผู้คนและโลกใบนี้ อยากทิ้งอะไรเป็นมรดกให้ลูกหลาน?
- ใครหรืออะไรเป็นแรงบันดาลใจให้เราได้บ้าง?
- อะไรที่ทำให้เราโกรธหรือผิดหวังที่สุดกับโลกใบนี้?
- เราอยากมอบของขวัญพิเศษอะไรให้แก่โลกใบนี้?
3. สิ่งที่มีคนยอมจ่ายคืออะไร?
- เราสามารถทำงานอะไรได้บ้าง? ลองนึกถึงสิ่งที่เราสามารถสอนคนอื่นได้ งานทั้งหมดที่เคยทำมาก่อน และทักษะที่สามารถใช้และถ่ายทอดได้
- เราสามารถขายอะไรได้บ้าง? ลองนึกถึงผลิตภัณฑ์หรือบริการที่สามารถสร้างและขายได้ มันจะแก้ปัญหาอะไร? มันจะตอบสนองความต้องการอะไร? ใครจะซื้อ?
- มีคนรอบตัวเรา สนใจจ่ายเพื่อให้เราทำอะไรบางอย่างให้หรือไม่?
4. ฉันเก่งเรื่องอะไร?
- ผู้คนเข้าหาเราเพื่อขอช่วยเหลือเรื่องเกี่ยวกับอะไร?
- ทักษะหรือพรสวรรค์ไหนที่คิดว่ามันอยู่ในตัวเรา
- เราทำอะไรได้ดี โดยไม่ต้องใช้ความพยายามเลย?
- อะไรคือสิ่งที่เรารู้สึกว่าทำได้ง่าย?
- ลองถามเพื่อน เพื่อนร่วมงานหรือครอบครัวดูว่า พวกเขาคิดว่าอะไรคือจุดแข็งของเรา?
ลองใช้คำถามเหล่านี้เป็นแนวทางเพื่อค้นหาอิคิไกของตัวเราเอง ถามตัวเองบ่อย ๆ ให้มันฝังเข้าไปในหัว เวลาเราทำอะไร ก็พยายามนึกคำถามเหล่านี้ แล้วเราจะค่อย ๆ พบคำตอบ
ขั้นตอนที่ 2 เชื่อมโยงคำตอบ
ให้รวมแต่ละข้อตามข้างล่างนี้ แล้วเราจะเห็นการเชื่อมโยงบางอย่าง แล้วจะพบว่าเราเข้าใจตัวเองมากขึ้น เราจะเห็นแนวคิด ค่านิยม ความเชื่อของตนเอง
- รวมคำตอบของข้อ 1 (สิ่งที่รัก) + 2 (สิ่งที่โลกต้องการ) = ภารกิจ (Mission)
- รวมคำตอบของข้อ 2 (สิ่งที่โลกต้องการ) + 3 (สิ่งที่คนยอมจ่าย) = อาชีพ (Vocation)
- รวมคำตอบของข้อ 3 (สิ่งที่คนยอมจ่าย) + 4 (สิ่งที่เก่ง) = ความชำนาญ (Profession)
- รวมคำตอบของข้อ 4 (สิ่งที่เก่ง) + 1 (สิ่งที่รัก) = ความหลงใหล (Passion)
เมื่อระบุทั้ง 4 ข้อได้แล้ว ให้ลองเขียนคำตอบออกมาว่า ภารกิจ (Mission) อาชีพ (Vocation) ความชำนาญ (Profession) และความหลงใหล (Passion) ของเราคืออะไร
เช่น
- สิ่งที่รัก (การเขียน) + สิ่งที่โลกต้องการ (ได้อ่านข้อมูลที่มีประโยชน์) = ภารกิจ (เขียนหนังสือที่มีข้อมูลเป็นประโยชน์ให้คนได้อ่าน)
- สิ่งที่โลกต้องการ (ได้อ่านข้อมูลที่มีประโยชน์) + สิ่งที่คนยอมจ่าย (ซื้อหนังสือเพื่อได้อ่านข้อมูลที่เป็นประโยชน์) = อาชีพ (นักเขียน)
- สิ่งที่คนยอมจ่าย (ซื้อหนังสือเพื่อได้อ่านข้อมูลที่เป็นประโยชน์) + สิ่งที่เก่ง (การเขียนเล่าเรื่องให้คนอ่านเข้าใจได้ง่าย ๆ) = ความชำนาญ (เล่าเรื่องเก่ง)
- สิ่งที่เก่ง (การเขียนเล่าเรื่องให้คนอ่านเข้าใจได้ง่าย ๆ) + สิ่งที่รัก (การเขียน) = ความหลงใหล (เขียนเล่าเรื่องให้คนเข้าใจง่าย ๆ และได้รับประโยชน์)
ขั้นตอนที่ 3 สรุป
ขั้นตอนสุดท้ายคือการนำเอาทั้ง 4 ข้อมารวมกันในหนึ่งประโยคหรือย่อหน้าเล็ก ๆ เพื่อมองเชื่อมโยงทั้งหมดเข้าด้วยกัน เช่น “ฉันรักที่จะเขียนโดยใช้ความเก่งของตัวเองในการเล่าเรื่องให้คนอ่านเข้าใจได้ง่าย ๆ ซึ่งข้อมูลที่ฉันเขียนนั้นจะเป็นข้อมูลที่มีประโยชน์ และเปลี่ยนแปลงผู้คนได้ และฉันสามารถทำมันเป็นอาชีพคือ การเป็นนักเขียนได้ และมีคนยอมจ่ายเพื่อซื้อหนังสือของฉัน”
กระบวนทั้ง 3 นี้อาจจะเปลี่ยนแปลงได้ขึ้นอยู่กับว่าเรากำลังอยู่ในช่วงไหนของชีวิต สิ่งสำคัญที่สุดคือ ถ้าเราค้นพบจุดตรงกลางที่รวมทั้ง 4 ข้อด้วยกันได้นั้น เรียกได้ว่าเราได้ค้นพบอิคิไกของตัวเองแล้ว แล้วชีวิตหลังจากนั้น ทุกการตื่นตอนเช้าของเรา เราจะอยากตื่นมาเพื่อเร่งรีบไปทำมัน
บทสรุป
เคล็ดลับสู่ชีวิตที่ยืนยาวและมีความสุขคือการใช้ชีวิตอย่างจุดมุ่งหมาย ซึ่งขั้นตอนแรกในการใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมายคือการเข้าไปควบคุมชีวิตของตัวเอง ซึ่งแนวคิดของอิคิไกเป็นเครื่องมือที่สามารถช่วยให้เราทำสิ่งนี้
จงค้นหาอิคิไกของตัวเองให้พบเร็วที่สุด แม้มันอาจจะไม่ได้เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน แต่มันคุ้มค่าที่เราจะพยายามค้นหาอิคิไกของตัวเอง
แล้วชีวิตที่เหลือของเราในทุก ๆ วันจะมีเติมเต็มและมีความสุข และที่สำคัญไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิต ตราบใดที่เรายังมีอิคิไก ชีวิตเราจะผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากได้ เพราะอิคิไกจะเป็นเหมือนบ้านที่ปลอดภัย ที่ไว้เยียวทุกอย่างในชีวิตของเรา
ผมหวังว่าบทความนี้จะเป็นแรงบันดาลให้เพื่อน ๆ ค้นพบอิคิไกในชีวิตของตัวเอง
ขอให้มีชีวิตที่มีความสุขและมีความหมายครับ! 🙌
Leave a Comment