ต้องการอ่านเคล็ดลับความสำเร็จของเจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) อยู่ใช่ไหมครับ? มาถูกทางแล้วครับ!
ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า วิธีที่จะช่วยให้ไปถึงความสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้น คือ การเรียนรู้จากคนที่ประสบความสำเร็จแล้ว เพราะทุกความสำเร็จได้ทิ้งร่องรอยให้เราได้แกะรอยเสมอ
บทความนี้จึงได้รวบรวม 10 เคล็ดลับความสำเร็จขอเจฟฟ์ เบโซส ชายผู้ร่ำรวยมากที่สุดในโลก
ผมหวังอย่างยิ่งว่าเมื่อเพื่อน ๆ อ่านจบ จะเข้าใจวิธีคิดและเรื่องราวชีวิตของเขามากยิ่งขึ้น และสามารถนำเคล็ดลับบทเรียนเหล่านั้นมาปรับใช้กับตัวเองได้
รับรองว่าจะได้ประโยชน์ และแรงบันดาลใจอย่างแน่นอนครับ : )
เจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) คือใคร?
เจฟฟรีย์ เพรสตัน เบโซส หรือที่เรารู้จักในชื่อเจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos) เขาเป็นนักธุรกิจ เจ้าของสื่อ และนักลงทุนชาวอเมริกัน เป็นที่รู้จักจากการเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท Amazon ซึ่งเป็นบริษัทเน้นด้านอีคอมเมิร์ช คลาวด์คอมพิวเตอร์ สตรีมมิ่ง และปัญญาประดิษฐ์ ได้รับการขนามว่าเป็นบริษัทที่มีอิทธิพลต่อเศรษฐกิจมากที่สุดในโลก
ปัจจุบันนิตยสาร ฟอบส์ ได้จัดเขาว่าเป็นคนที่ร่ำรวยมากที่สุดอันดับ 1 ในโลกติดต่อกันมาตั้งแต่ปี 2017 หลังจากโค่นแชมป์ Bill Gates ผู้ที่เคยอยู่อันดับ 1 มาอย่างยาวนาน และถูกขนานนามว่าเป็นบุคคลที่ร่ำรวยมากที่สุดในประวัติศาสตร์สมัยใหม่ด้วยจำนวนมูลค่าทรัพย์ทั้งหมด 177 billion หรือประมาณ 5,876,665,500,000 บาท เราอาจจะมองภาพไม่ออกว่ามากแค่ไหน มีมากกว่าประมาณ 57 เท่าของเศรษฐีอันดับ 1 ของไทย
ถ้าวัดความสำเร็จในแง่ของความมั่งคั่ง เขาก็ถือได้ว่าเป็นบุคคลที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในโลก
อะไรกันที่ทำให้เขาประสบความสำเร็จได้มากขนาดนี้ อะไรกันที่ทำให้เขาแตกต่างจากผู้คนทั่วโลกจำนวน 7,934,062,883 คน และก้าวมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้ เราจะมาแกะเคล็ดลับชีวิต แนวคิดและความสำเร็จของเขากันครับ
ความหลงใหลคือทุกอย่าง

“ถ้าคุณสามารถคิดออกว่าคุณรักที่จะทำอะไร ในแต่ละวันคุณจะสนุกมาก คุณจะได้ทำงานกับคนที่มีความคิดคล้าย ๆ กัน และงานจะเป็นสิ่งที่สนุกมาก” – Jeff Bezos
เจฟฟ์ เบโซส์ได้แนะนำคนที่กำลังเริ่มต้นธุรกิจหรือกำลังเดินตามความฝันในสายอาชีพ ให้เดินตามเสียงร้องเรียกของหัวใจตนเองและจงทำสิ่งที่มีความสุข
เพราะเมื่อเราสนุกกับสิ่งที่กำลังทำอย่างแท้จริง วันนั้นทั้งวันจะเต็มไปด้วยความสำเร็จและความสุข กลับกันถ้าคุณไม่ได้ทำสิ่งที่คุณหลงใหล วันนั้นทั้งวันจะเต็มไปด้วยสิ่งที่น่าเบื่อหน่าย ท้อแท้ หมดพลัง
การหางานที่เราหลงใหลเป็นแนวคิดของเขาว่ามันคือ ความสำเร็จที่แท้จริง และเขาเชื่อว่าทุกคนมีความหลงใหล
เขาเน้นย้ำว่า “ผมคิดว่าเราทุกคนมีความหลงใหล และคุณไม่สามารถเลือกมันได้ แต่คุณต้องตื่นตัวกับมัน” เขาสรุป “คุณต้องมองหามัน”
มองให้ไกล

เจฟฟ์ เบโซส์ชอบที่จะมองไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ความสำเร็จของ Amazon เป็นหลักฐานของการมองการณ์ไกลของเขา
เมื่อต้องตัดสินใจเขาจะบังคับตัวเองให้มองภาพระยะยาวเสมอ เพราะมันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในการสร้างความแตกต่างระหว่างตัวเราเองกับคู่แข่ง
เขาจะมีปรัชญาการคิดระยะยาว และมักจะให้พนักงานทุกคนใช้ปรัชญานี้ เขาจะบอกพนักงานว่า “ผมขอให้ทุกคน อย่าคิดในกรอบเวลาเพียง 2-3 ปี แต่ให้คิดในกรอบเวลา 5-7 ปี”
และในปี 2008 เขายังเน้นย้ำเรื่องความสำคัญการคิดระยะยาวไว้ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นว่า “การคิดระยะยาวจะยกระดับความสามารถที่มีอยู่ของเรา และช่วยให้เราทำสิ่งใหม่ ๆ ที่เราไม่สามารถคิดได้”
คุณสมบัตินี้ของเขาเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เขาแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ที่มักจะคิดอะไรแค่ในระยะสั้น ๆ
การบังคับให้ตัวเองคิดในระยะยาว จะทำให้เราก้าวนำคนอื่นไปก่อน ซึ่งหมายความว่าเรามีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนอื่น ๆ
ดังนั้น จงอย่ากลัวที่จะคิดแตกต่างจากคนส่วนใหญ่ มองให้ไกลเข้าไว้ คนที่มองเห็นในสิ่งที่คนไม่เห็นเท่านั้นที่จะประสบความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ได้
จงเสี่ยง
เขาเชื่อว่า ถ้าหากไม่มีการเสี่ยงครั้งใหญ่ เราจะไม่มีวันได้รับผลตอบแทนก้อนโตเลย เขาสนับสนุนให้ทุกคนยอมรับและเรียนรู้จากมัน แทนที่จะกลัวและหลีกเลี่ยงมัน
เขาเคยให้สัมภาษณ์ไว้ว่า “เมื่อคุณคิดถึงสิ่งที่คุณจะเสียใจเมื่อคุณอายุ 80 สิ่งเหล่านี้มักจะเป็นสิ่งที่คุณไม่ได้ทำ สิ่งที่เพิกเฉย น้อยครั้งที่คุณจะเสียใจกับสิ่งที่คุณทำ ถึงแม้มันจะล้มเหลวหรืออะไรก็ตาม”
แนวคิดนี้เป็นหลักคิดที่เขายึดถือมาโดยตลอด
ย้อนไปเมื่อเจฟฟ์ เบโซส์อายุเพียง 30 ปี เขาตัดสินใจลาออกจากงานประจำที่มีรายได้ก้อนโต เพื่อขับรถไปทั่วประเทศและเริ่มธุรกิจอินเทอร์เน็ต โดยมีไอเดียว่าจะสร้างร้านหนังสือออนไลน์ ซึ่งในยุคนั้นโลกอินเทอร์เน็ตเป็นโลกที่ใหม่มาก แต่ด้วยการทำงานเกี่ยวกับการเงินการลงทุน เขาพบข้อมูลว่าอินเทอร์เน็ตมีอัตราการเติบโตสูงถึง 2,300 % ต่อปี ทำให้เขาเห็นโอกาสว่าออนไลน์มันต้องมาแน่
จึงได้เข้าไปพูดคุยกับหัวหน้า หัวหน้าก็เห็นด้วยว่ามันเป็นแนวคิดที่มีโอกาส และพูดกับเขาว่าแต่มันเสี่ยงและดูไม่มั่นคงเกินไป ทำงานเดิมต่อไปจะดีกว่า
แน่นอนว่าสิ่งที่หัวหน้าบอกเขานั้น ไม่สามารถหยุดความเชื่อของเขาได้ เขาตัดสินใจทำมัน โดยเริ่มต้นด้วยพนักงานเพียง 2 คน เขาและแฟนจากโรงรถบ้านของตัวเองในปี 1994 จากนั้น 1 ปีต่อมาเขาก็ได้เปิดเว็บไซต์ amazon.com ขึ้นเป็นครั้งแรก
และมันคือการตัดสินเสี่ยงครั้งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเขา เพราะถ้าวันนั้นเขาเชื่อหัวหน้า และกลัว ทุกวันนี้เขาอาจจะยังนั่งทำงานอยู่ในองค์กร และคงไม่ได้เป็นบุคคลที่ร่ำรวยที่สุดในโลกได้
ในปี 2018 เขาได้พูดไว้ว่า “ผมไม่คิดเสียใจที่ได้พยายามและล้มเหลว และผมจะถูกหลอกหลอน ถ้าผมไม่ตัดสินใจลองทำ” เขาพูดต่อว่า “จงเดินเส้นทางที่เสี่ยงหน่อย เพื่อได้ทำตามสิ่งที่หลงใหล และผมก็ภาคภูมิใจกับการเลือกนั้น”
โอบกอดความล้มเหลว

เจฟฟ์ เบโซส์เคยเขียนในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นปี 2018 เกี่ยวกับความล้มเหลวไว้ว่า “เมื่อบริษัทเติบโตขึ้น ทุกอย่างจำเป็นต้องขยาย รวมทั้งขนาดของการทดลองที่ล้มเหลว” และกล่าวต่อ “ถ้าระดับความล้มเหลวของคุณไม่เพิ่มขึ้น แสดงว่าคุณไม่ได้สร้างสรรค์ในขนาดที่สร้างความแตกต่างได้จริง ๆ”
เขาแบ่งปันประสบการณ์ความล้มเหลวที่ล้มเหลวอย่างไม่เป็นท่าของ Amazon จากการทำโทรศัพท์ Fire เขาบอกว่าถึงแม้จะล้มเหลว แต่บริษัทสามารถเรียนรู้จากมัน แล้วใช้มันเป็นบทเรียนเพื่อใช้สร้าง Echo และ Alexa
เขาเป็นมิตรกับความล้มเหลวอย่างมาก ซึ่งมันสะท้อนออกมาจากคำพูดของเขา “เราเสี่ยงอยู่ตลอดเวลา เราพูดถึงความล้มเหลว เราต้องการความล้มเหลวใหญ่ ๆ เพื่อสร้างความแตกต่าง ถ้าเราไม่ทำ แสดงว่าเรายังโลดโผนไม่พอ คุณควรจะลุยให้หนักแล้วคุณจะล้มเหลว แต่นั่นก็ไม่เป็นไร” นี่แสดงให้เห็นมุมมองที่เขามีต่อความล้มเหลวว่าเป็นสิ่งที่เราหลีกเลี่ยงไม่ได้ และยืนยันว่าความล้มเหลวนั้นเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความสำเร็จ และเชื่อว่าหนึ่งความสำเร็จ หนึ่งชัยชนะเพียงครั้งเดียวสามารถทดแทนความล้มเหลวหลายสิบครั้ง
“ผมรู้ว่าถ้าผมล้มเหลว ผมจะไม่เสียใจ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่ ๆ ที่ผมรู้ ผมจะเสียใจถ้าไม่ได้พยายาม” หลักแนวคิดนี้เป็นสิ่งที่เขาใช้สำหรับการตัดสินใจต่าง ๆ ในชีวิต และเป็นส่วนหนึ่งที่ผลักดันทำให้เขาสามารถขึ้นมาเป็นบุคคลที่ร่ำรวยมากที่สุดในโลกได
“หลังจากความล้มเหลวและความพ่ายแพ้ในการเล่นเกมหลายครั้ง เราก็ประสบความสำเร็จ” – เจฟฟ์ เบโซส
อย่ากลัวที่จะฝัน

เจฟฟ์ เบโซส์เขาก็มีความฝัน มันเกิดขึ้นตอนเขาอายุเพียง 5 ขวบ เขากล่าวว่า “ตั้งแต่ผมอายุ 5 ขวบ มันคือตอนที่นีล อาร์มสตรองเหยียบพื้นผิวดวงจันทร์ สิ่งนี้ทำให้ผมหลงใหลในอวกาศ จรวดและเครื่องยนต์ของมัน และการเดินทางในอวกาศ” นี่คือความหลงใหลและใฝ่ฝันของเขา
สักวันหนึ่งจะไปสำรวจอวกาศให้ได้ และผู้คนต่างพากันหัวเราะและคิดว่ามันไร้สาระ
ครั้งหนึ่งเขาเคยถูกถามว่า ถ้าทำอะไรก็ได้ที่ไม่ใช่การเป็น CEO ของ Amazon เขาจะทำอะไร?
เขาตอบว่า “อืม ถ้าผมสามารถทำอะไรก็ได้ ผมอยากจะไปช่วยสำรวจอวกาศ”
มันขับเคลื่อนเขามาทั้งชีวิต และคงเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาสร้างบริษัทที่ชื่อว่า Blue Origin ซึ่งเป็นบริษัทยานอวกาศที่มีจุดประสงค์ ทำให้มนุษย์สามารถเดินทางไปอวกาศแบบได้เหมือนนั่งเครื่องบิน
และในที่สุด 52 ปีผ่านมาจากหนุ่มน้อยที่หลงใหลในอวกาศ จนล่าสุดปี 2021 เขาก็สามารถเติมเต็มฝันในวัยเด็กของเขาได้สำเร็จด้วยการเดินทางท่องเที่ยวอวกาศพร้อมกับเพื่อนร่วมทาง 3 คน ซึ่งเป็นเที่ยวบินแรกด้วยจรวดของบริษัทของเขาเอง
หลังจากเครื่องกลับมาที่พื้นโลก เขาได้พูดด้วยความดีใจว่า “วันนี้เป็นวันที่ดีที่สุดของผมเท่าที่มีมาในชีวิต”
จงมีความฝัน ความฝันจะผลักดันให้เรามีความหวังและมีจุดมุ่งหมายในชีวิต และทุกความฝันมีแต่เราเท่านั้นที่สามารถทำให้มันเกิดขึ้นจริงได้ นี่คือสิ่งที่เราได้เรียนรู้จากเขา
ตัดสินใจเพียง 3 ครั้งต่อวัน

ในแต่ละวัน เราจะมีเรื่องมากมายให้ต้องตัดสินใจ บางครั้งเราตัดสินใจได้ดี และบางครั้งการตัดสินใจของเราก็ผิดพลาด
หลังจากอ่านงานวิจัยมากมายเกี่ยวกับกระบวนการตัดสินใจ เจฟฟ์ เบซอสสรุปไว้ว่าเป็นเรื่องยากที่มนุษย์เราจะตัดสินใจได้ดีมากกว่า 3 ครั้งต่อวัน ดังนั้น Jeff Bezos จึงจำกัดตัวเองให้ตัดสินใจเรื่องใหญ่ ๆ เพียง 3 เรื่องต่อวัน สิ่งนี้ทำให้เขาเพิ่มโอกาสที่เขาจะตัดสินใจได้อย่างถูกต้อง การตัดสินใจที่ดีเพียง 3 ครั้งต่อวันเป็นวิธีที่ดีที่สุดในลดความกดดันและทำให้ประสบความสำเร็จได้มากขึ้น
เขากล่าวไว้ว่า “ถ้าผมตัดสินใจดี ๆ 3 อย่างต่อวันก็เพียงพอแล้ว และควรเป็นการตัดสินใจที่มีมีคุณภาพสูงที่สุดเท่าที่จะทำได้”
หากเราจำกัดตัวเองให้ตัดสินใจ 3 ครั้งต่อวัน เราจะพบว่าสิ่งที่เราเลือกนั้นจะมีคุณค่าและสำคัญต่อเราจริง ๆ
ชีวิตเราเป็นผลลัพธ์ของการตัดสินใจ ถ้าเราตัดสินใจได้มีคุณภาพ ชีวิตของเราจะมีผลลัพธ์ที่มีคุณภาพเช่นกัน
กระหายความสำเร็จ

เส้นทางชีวิตของเบโซส์กับ Amazon นั้น เขาไม่เคยหยุดเรียนรู้ มีความทะเยอทะยาน ต้องการพัฒนา สร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ อยู่เสมอ สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนผสมที่สำคัญสำหรับความสำเร็จของเขา
เรามาดู Timeline ของ Amazon
- ปี 1994 Amazon เริ่มต้นทำธุรกิจขายหนังสืออนไลน์โดยเริ่มจากโรงรถที่บ้าน
- ปี 1997 สร้างโกดักเก็บสินค้า
- ปี 1998 ขายธุรกิจไปเรื่องเพลง โดยขาย CD และ DVD
- ปี 1998 เข้าซื้อ IMDb
- ปี 1999 ขยายไปธุรกิจตุ๊กตาและ
- ปี 2002 เริ่มขายเสื้อผ้า
- ปี 2003 เริ่มเปิดธุรกิจ AWS ซึ่งให้บริการระบบคลาวด์ จัดเก็บข้อมูล
- ปี 2006 เปิดตัว Amazon Prime บริการพิเศษสำหรับผู้ที่เป็นสมาชิกของ Amazon
- ปี 2006 เปิดตัว Amazon Fresh บริการส่งสินค้าสด
- ปี 2007 เปิดตัว Kindle เครื่องอ่าน E-Book
- ปี 2008 ซื้อ Audible ซึ่งให้บริการ audiobooks
- ปี 2013 ซื้อ Goodreads
- ปี 2013 เข้าซื้อ Washington Post
- ปี 2014 เปิดตัว Amazon Echo ลำโพงอัจฉริยะที่มีผู้ช่วยชื่อว่า Alexa
- ปี 2014 เปิดตัวมือถือ Fire
- ปี 2014 ซื้อ Twitch บริการ Streaming game
- ปี 2015 เปิดร้านหนังสือของตัวเองที่ชื่อว่า Amazon Books
- ปี 2016 เปิดตัว Amazon Prime Air บริการส่งสินค้าผ่านโดรน
- ปี 2017 ซื้อ Whole Foods ร้านสะดวกซื้อสินค้าออแกนิค และอาหาร
- ปี 2018 เปิดตัว Amazon Go ร้านสะดวกซื้ออัจฉริยะไร้แคชเชียร์
- ปี 2020 เข้าซื้อ Zoox ธุรกิจรถไร้คนขับ
จะเห็นได้ว่า Amazon ไม่เคยหยุดพัฒนา ขยายธุรกิจอยู่ตลอดเวลา นี่เป็นวิสัยทัศน์ของเจฟฟ์ เบโซส์ เขามองหาโอกาส มองภาพในระยะยาว มองหาการเติบโต และไม่เคยหยุดนิ่งหรือพึงพอใจกับความสำเร็จในปัจจุบันอยู่
ถ้าย้อนไปที่เขาประสบความสำเร็จกับธุรกิจขายหนังสือออนไลน์แล้วหยุด พอใจกับความสำเร็จนั้นแล้ว ทุกวันนี้ Amazon คงไม่ได้กลายเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ที่สุดบริษัทหนึ่งในโลกอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้ได้
จงเป็นตัวเอง และเชื่อในสัญชาตญาณ

ในจดหมายถึงผู้ถือหุ้นฉบับสุดท้ายในฐานะ CEO ของ Amazon เจฟฟ์ เบโซส์ได้พูดเรื่องความสำคัญของการรักษาความเป็นตัวเอง
“เราทุกคนทราบดีว่าความโดดเด่น ความแปลกใหม่เป็นสิ่งที่มีค่า เราทุกคนถูกสอนให้เป็นตัวของตัวเอง สิ่งที่ผมขอให้คุณทำคือเป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมันต้องใช้แรงอย่างมากเพื่อจะคงความเป็นตัวเองไว้ก็ตาม และโลกจะพยายามทำห้คุณเป็นคนธรรมดาด้วยวิธีนับพันหรือมากแค่ไหนก็ตาม จงอย่าปล่อยให้มันเกิดขึ้น
เบซอสกล่าวต่อว่า “การเป็นตัวของตัวเองนั้นคุ้มค่า แต่อย่าคาดหวังว่ามันจะง่าย คุณจะต้องทุ่มเทพลังให้กับมันอย่างต่อเนื่อง”
และอีกหนึ่งสิ่งที่สำคัญคือ การเชื่อในสัญชาตญาณตัวเอง เขาเชื่อเรื่องการตัดสินใจตามสัญชาตญาณ เขาบอกว่า “ถ้าคุณสามารถตัดสินใจด้วยการวิเคราะห์ได้ คุณควรทำอย่างนั้น แต่หลายครั้งในชีวิตต้องตัดสินใจเรื่องที่สำคัญ คุณมักทำมันด้วยสัญชาตญาณและความรู้สึก”
หากต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต เราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เชื่อในสัญชาตญาณของตัวเอง
Work-Life Harmony

Amazon เป็นที่รู้จักในด้านการสร้างวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับการทำงานหนัก และเมื่อถูกตามเกี่ยวกับ Work-Life Balance ความสมดุลระหว่างชีวิตกับการงานกับเจฟฟ์ เบโซส์จะบอกคุณว่า เขาเชื่อเรื่อง Work-Life Harmony มากกว่า
เขาเชื่อว่าคนเราไม่ควรแบ่งแยกระหว่างงานกับชีวิตออกจากกัน เขาแนะนำว่าเราควรมองที่ “งาน” กับ “ชีวิต” เป็นเนื้อเดียวกัน แทนที่จะเป็นสองสิ่งที่แยกจากกัน
“ที่จริงมันคือวงกลม มันไม่ใช่ความสมดุล” เขากล่าว
และมันไม่ใช่การได้สิ่งหนึ่งแล้วจะต้องเสียสิ่งหนึ่ง เช่น อยากทำงานเพิ่ม ต้องใช้ชีวิตให้น้อยลง อยากใช้ชีวิตให้มากขึ้น ต้องทำงานให้น้อยลง
เบโซไม่ได้แบ่งแยกงานและชีวิตส่วนตัวออกจากกัน เขาเคยกล่าวว่า “ผมมีความสุขที่บ้าน ผมจะมาที่ทำงานด้วยพลังงานมหาศาล และถ้าผมมีความสุขกับการทำงาน ผมจะกลับบ้านด้วยพลังอันยิ่งใหญ่”
เขาทำให้งานกับชีวิตกลายเป็นเนื้อเดียวกัน เช่น ถึงเขาจะทำงานหนักแค่ไหนเขาก็ได้ชื่อว่าเป็น Family Man เขาเป็นพ่อที่ดี ใช้เวลาทุกเช้าทานอาหารเช้ากับลูก ๆ และทำกิจกรรมกับพวกเขาก่อนลูก ๆ ไปโรงเรียน
ถ้าเราสามารถทำให้งานกับชีวิตหล่อหลอมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ทั้งสองจะเริ่มส่งเสริมกันและกัน ซึ่งจะทำให้ชีวิตโดยรวมของเรามีความสุขและความสงบมากขึ้น เช่น ยิ่งใช้เวลาที่มีความสุขกับครอบครัวมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีแรงบันดาลให้ทำงานออกมาให้ดีมากขึ้นเท่านั้น
ความสำเร็จเริ่มต้นที่การนอน

เจฟฟ์ เบโซส์ให้ความสำคัญต่อการนอนหลับอย่างมาก เขาเชื่อว่าการนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอเพื่อชาร์จแบตเตอรี่ทุกคืน เพื่อให้ร่างกายพร้อมสำหรับวันรุ่งขึ้นเป็นสิ่งสำคัญอันดับหนึ่ง
ในปี 2018 เจฟฟ์ เบโซส์ได้ให้สัมภาษณ์ที่ Washington Hilton โดยพูดถึงเรื่องการนอนหลับ เขาเล่าว่า “ผมให้ความสำคัญกับมัน ผมคิดได้ดีขึ้น มีเรี่ยวแรงมากขึ้น และมีอารมณ์ที่ดีขึ้น” และกล่าวต่อว่า “ในฐานะผู้บริหารระดับสูง คุณจะได้รับค่าตอบแทนเพื่อการตัดสินใจที่มีคุณภาพในจำนวนไม่กี่ครั้ง ดังนั้นงานของคุณคือไม่ต้องตัดสินใจเป็นพัน ๆ ครั้งต่อวัน มันจะคุ้มค่าไหมล่ะ ถ้าคุณภาพของการตัดสินใจเหล่านั้นลดลง เพราะคุณหงุดหงิดและเหนื่อย”
และเขายังบอกว่า “ถ้าคุณลดเวลานอน คุณอาจทำอะไรได้มากขึ้น 2-3 ชั่วโมง แต่ประสิทธิภาพของการทำนั้นเป็นเพียงภาพลวงตา เพราะเมื่อพูดถึงการตัดสินใจและการทำ คุณภาพมักจะสำคัญกว่าปริมาณเสมอ”
จำไว้ว่าเพื่อบรรลุสิ่งที่ยอดเยี่ยม เราจะต้องยืนหยัด ต้องพยายามอย่างต่อเนื่อง การทำเช่นนี้ได้ ไม่มีจะอะไรดีไปกว่าการทำให้การนอนหลับเป็นเรื่องสำคัญอันดับหนึ่ง นี่เป็นวิธีที่ดีที่สุดในการบรรลุความสำเร็จที่ยั่งยืน
การนอนคือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จที่ยั่งยืน และชีวิตคือการวิ่งมาราธอน ไม่ใช่การวิ่งระยะสั้น ๆ
“การนอนหลับแปดชั่วโมงสร้างความแตกต่างอย่างมากสำหรับผม ผมพยายามอย่างหนักที่จะให้ความสำคัญกับสิ่งนั้น” – เจฟฟ์ เบโซส์
บทสรุป
หลังจากศึกษาหาข้อความมูลเกี่ยวกับเจฟฟ์ เบโซส์ ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า ความสำเร็จของเขาไม่ใช่เรื่องบังคับ มันมีกระบวน มันมีเส้นทางของมัน
สรุปได้คือ เมื่อเห็นโอกาส จงกล้าหาญที่จะก้าวออกจาก Comfort zone และเชื่อมั่นในหนทางนั้น ทำจนกว่ามันจะสำเร็จแล้วอย่าหยุดแค่ความสำเร็จนั้น ต่อยอดความสำเร็จนั้นให้เกิดความสำเร็จใหม่ไปเรื่อย ๆ
วงจรแห่งความสำเร็จของเจฟฟ์ เบโซส์ = เห็นโอกาส → กล้า → เชื่อ → ทำ → สำเร็จ → เห็นโอกาส → กล้า → เชื่อ → ทำ → สำเร็จ (ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ)
สรุปทั้ง 10 เคล็ดลับความสำเร็จของเจฟฟ์ เบโซส (Jeff Bezos)
- ความหลงใหล
- มองให้ไกล
- จงเสี่ยง
- โอบกอดความล้มเหลว
- อย่ากลัวที่จะฝัน
- ตัดสินใจเพียง 3 ครั้งต่อวัน
- กระหายความสำเร็จ
- จงเป็นตัวเอง และเชื่อในสัญชาตญาณ
- Work-Life Harmony
- ความสำเร็จเริ่มต้นที่การนอน
เป็นยังไงกันบ้างครับ กับเคล็ดลับความสำเร็จทั้ง 10 ข้อของเจฟฟ์ เบโซส
ผมเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่า การเรียนรู้สิ่งเหล่านี้ จะสามารถช่วยย่นระยะเวลาในการเดินทางสู่ความสำเร็จของเราได้
หวังว่าเพื่อน ๆ จะสามารถนำข้อคิด เคล็ดลับเหล่านี้ไปปรับใช้ในชีวิตตัวเองและทำให้ชีวิตพัฒนาขึ้น และมีความหมายมากยิ่งขึ้น
แล้วพบกันที่ปลายทางของความสำเร็จครับ! 💪
Leave a Comment