กฎ 80/20 คืออะไร กฎที่จะช่วยให้ทำน้อย แต่ประสบความสำเร็จมากขึ้นขึ้น

กฎ 80/20 คืออะไร? กฎที่จะช่วยให้ทำน้อย แต่ประสบความสำเร็จมากขึ้น

เราทุกคนล้วนมีเวลาเท่าเทียมกันในแต่ละวัน แต่เราจะบริหารมันยังไงดีล่ะที่จะให้มีประสิทธิภาพมากที่สุด มีแนวคิดหนึ่งที่จะช่วยเราได้คือ กฎ 80/20 หรือหลักการพาเรโต (Pareto Principle)

ตอนนี้เรามีช่อง YouTube แล้ว! Podcast สำหรับคนรักหนังสือและการพัฒนาตัวเอง ใครสนใจ อย่าลืมไปติดตามกันได้นะครับ : ) 🙏
blank
ตอนนี้เรามีช่อง YouTube แล้ว! Podcast สำหรับคนรักหนังสือและการพัฒนาตัวเอง ถ้าเพื่อน ๆ กดติดตาม ผมจะรู้สึกดีมากครับ
blank

โดยหัวใจของกฎ 80/20 หรือหลักการพาเรโต (Pareto Principle) คือ การจัดลำดับความสำคัญของสิ่งที่จะให้ผลลัพธ์มากที่สุด หรือจะเรียกได้ว่าเป็นการเลือกทำเฉพาะสิ่งที่จะให้ผลลัพธ์ที่คุ้มค่า น่าลงทุนก็ได้

กฎนี้สามารถนำไปใช้ได้กับทุกแง่มุมของชีวิต และสามารถส่งผลต่อชีวิตความสำเร็จของเราได้อย่างมหาศาล

ซึ่งในบทความนี้เราจะมาเจาะลึกแนวคิดและเทคนิคการใช้กฎ 80/20 หรือหลักการพาเรโต (Pareto) กันครับ 🙌

กฎ 80/20 หรือหลักการพาเรโตคืออะไร?

กฎ 80/20 หรือที่รู้จักกันในชื่อ “หลักการพาเรโต” (Pareto Principle) ระบุว่า ผลลัพธ์ ผลผลิต ผลตอบแทน 80% เกิดจากสาเหตุ ทรัพยากร และความพยายามเพียง 20% หรือจะพูดว่าความพยายามเพียง 20% ทำให้เกิดผลลัพธ์ 80% ตรงกันข้ามความพยายามที่เหลืออีก 80% ให้ผลลัพธ์เพียง 20% เท่านั้น

กฎ 80/20 คืออะไร? กฎที่จะช่วยให้ทำน้อย แต่ประสบความสำเร็จมากขึ้นขึ้น
ขอบคุณภาพจาก Next generation automation

“ในโลกใบนี้ สิ่งต่าง ๆ ไม่ได้มีความสำคัญเท่าเทียมกันหมด มีไม่กี่อย่างเท่านั้นที่สำคัญ ผลลัพธ์ส่วนใหญ่เกิดขึ้นจากสาเหตุแค่ไม่กี่อย่าง”

ซึ่งกฎนี้ไม่ใช่กฎทางคณิตศาสตร์ที่ยาก ซับซ้อน แต่มันเป็นเพียงกรอบคิดที่แม้จะผ่านมากกว่า 125 ปีแล้ว แนวคิดนี้ยังสามารถนำมาอธิบายใช้ได้สิ่งต่าง ๆ ได้ในโลกทุกวันนี้ และสามารถนำไปใช้ได้กับทุกแง่มุมของชีวิต ถึงขนาดมีคนกล่าวว่ามันคือ กฎครอบจักรวาล และเป็นกฎธรรมชาติที่ไม่ต่างกับกฎแรงโน้มถ่วงเลยทีเดียว

ปรากฏการณ์นี้ยังมีการเรียกชื่ออื่น ๆ

  • หลักการพาเรโต (Pareto Principle)
  • กฎ 80/20 (อันนี้คนส่วนใหญ่ใช้และรู้จัก)
  • กฎของจำนวนน้อยแต่สำคัญ (Law of the vital few)
  • หลักการแห่งความไม่สมดุล (The Principal of Imbalance)

ตัวอย่างทั่วไปของปรากฏการณ์พาเรโต

  • ประชากรที่ร่ำรวยที่สุดประมาณ 20% ของโลกควบคุมรายได้ 80% ทั้งหมดบนโลก
  • ทักษะประมาณ 20% สามารถทำเงินให้เราได้ 80% ของทั้งหมด
  • ลูกค้าประมาณ 20% สร้างยอดขาย 80% ของทั้งหมด
  • กำไรประมาณ 80% จะมาจากเพียง 20% ของสินค้าทั้งหมด
  • ยอดขายประมาณ 80% มาจากกลุ่มพนักงานขายเพียง 20% ของทั้งหมด
  • ประมาณ 80% ของการร้องเรียนบ่นมาจากลูกค้ากลุ่มเดิม ๆ เพียง 20%
  • ผู้เล่นประมาณ 20% สามารถทำคะแนน 80% ของทั้งหมด
  • ประมาณ 80% ของการแชร์บน Facebook มาจากเพียง 20% ของโพสต์ทั้งหมด
  • ประมาณ 80% ของอาชญากรรมเกิดขึ้นจากจำนวน 20% ของอาชญากร
  • ประมาณ 20% ของพนักงานทั้งบริษัทต้องรับผิดชอบ 80% ของผลลัพธ์ทั้งหมด
  • ประมาณ 80% ของนวัตกรรมที่เกิดขึ้นบนโลกมาจากเพียง 20% ของบริษัททั้งหมด
  • ประมาณ 20% ของเนื้อหาที่เขียนลงเว็บสร้าง 80% ของผู้เข้าชม
  • ความทรงจำประมาณ 80% ของเรามาจากประสบการณ์ในชีวิตเพียง 20%
  • ประมาณ 80% ของรถติดมาจากเพียง 20% ของถนนทั้งหมด
  • อารมณ์เชิงลบ ความเศร้าโศกประมาณ 80% ในชีวิตมาจากกลุ่มคนเพียงประมาณ 20% ในชีวิตของเรา
  • สถานะทางการเงินปัจจุบันของเราประมาณ 80% มาจากผลของการตัดสินใจทางการเงินเพียงประมาณ 20%
  • ผลลัพธ์ประมาณ 80% ของการลงทุนในปัจจุบันมาจากการสินทรัพย์ 20% ที่เราลงทุน
  • ประมาณ 80% ของความสำเร็จของเรามาจาก 20% ของไอเดียทั้งหมด
  • ความเครียดประมาณ 80% ในชีวิตเกิดจาก 20% ของปัจจัยที่ทำให้เกิดความเครียด
  • เกษตรกรเพียงประมาณ 20% สร้างผลิตผลทางการเกษตร 80% ของทั้งโลก
  • ประมาณ 20% ของอาหารที่เรากินเข้าไปสร้างไขมันถึง 80%
  • ประมาณ 20% ของเพื่อนบ้านก่อเสียงดังรบกวนถึง 80%
  • ในหนังสือ 1 เล่มมีเพียงข้อมูลประมาณ 20% เท่านั้นที่เป็นแก่นข้อมูลสำคัญ
  • ประมาณ 80% ของเวลาในชีวิตที่เราใช้ เราใช้ไปกับกลุ่มคนเพียง 20%
  • เวลาประมาณ 20% สามารถสร้างความสุขให้เรา 80% ของความสุขทั้งหมด
  • นิสัยประมาณ 20% ของเราสามารถสร้างความสำเร็จ 80% ของทั้งหมด
  • ความสำเร็จกว่า 80% มาจากความพยายามเพียง 20%

(ลองนำไปสังเกตในชีวิตตัวเองดูนะครับ เราจะพบว่าปรากฏการณ์นี้ซ่อนอยู่รอบในชีวิตประจำวันของเรา)

แก่นของแนวคิดนี้คือ ช่วยให้เราระบุได้ว่าในการจะลงมือทำอะไรสักอย่าง เราต้องจัดลำดับความสำคัญ แล้วเลือกลงมือทำในส่วนที่สามารถสร้างผลกระทบได้มากที่สุด

แต่โปรดจำไว้ว่าตัวเปอร์เซ็นต์ที่แท้จริงไม่จำเป็นต้อง 80/20 เสมอไป บางสถานการณ์อาจจะเป็น 99/1 หรือ 90/10 หรือ 50/50 หรือ 70/30 ก็ได้ แต่ให้เข้าใจว่า ทุกสิ่งไม่ได้สำคัญเท่ากันหมด

“สิ่งสำคัญคือกฎ 80/20: 80% ของผลลัพธ์มาจากสาเหตุเพียง 20% ซึ่งหมายความว่าถ้าคุณทำ 10 งาน จะมี 2 งานที่จะมีความสำคัญมากกว่างานอื่น ๆ” – Brain Tracy

กฎ 80/20 หรือหลักการพาเรโตมาจากไหน?

blank
ภาพ Vilfredo Pareto ที่มา Wiki

จุดเริ่มต้นเริ่มจากปลายศตวรรษที่ 19 มีนักเศรษฐศาสตร์ชาวอิตาลีที่ชื่อว่า Vilfredo Pareto สังเกตเห็นว่า 80% ของการเก็บเกี่ยวฝักถั่วจากสวนของเขานั้นมาจากพืชถั่วเพียง 20% หลังจากนั้นเขาก็เริ่มสังเกตมากขึ้นจนพบว่า 20% ของคนในอิตาลีกลับเป็นเจ้าของความมั่งคั่งถึง 80% ของทั้งประเทศ (80% ของความมั่งคั่งเป็นของคน 20%) ทำให้ตกผลึกว่าไม่ใช่ทุกอย่างที่สำคัญ มีเพียงแค่ประมาณ 20% เท่านั้นที่สำคัญและส่งผลต่อผลลัพธ์โดยรวม

จึงได้ตีพิมพ์งานเขียนแรกของเขาที่ใช้ชื่อว่า “Cours d’économie politiqu” ซึ่งได้กลายเป็นหลักแนวคิดที่ได้ชื่อว่าหลักการพาเรโต Principle หรือที่รู้จักกันในชื่อกฎ 80/20

ปรากฏให้เริ่มต้นด้วยเป้าหมายว่าความสัมพันธ์ 80/20 นี้กลายเป็นความสัมพันธ์ที่พบเห็นได้ทุกที่

ต่อมาในช่วงทศวรรษที่ 1940 Dr. Joseph Juran ผู้ที่มีชื่อเสียงด้านการบริหารการปฏิบัติการเขาได้นำกฎ 80/20 มาใช้กับการควบคุมคุณภาพของการผลิตในธุรกิจ เขาพบว่า 80% ของข้อบกพร่องของสินค้าเกิดจากเพียง 20% ของวิธีการผลิตเท่านั้น เขาจึงได้ใช้การวิเคราะห์พาเรโตนี้ ด้วยการมุ่งลดปัญหาการผลิตในส่วน 20% จนทำให้ธุรกิจสามารถเพิ่มคุณภาพของการผลิตโดยรวมได้ และได้ตั้งชื่อหลักการนี้ว่า หลักการพาเรโต

และในปี 1949 George Zipf นักเศรษฐศาสตร์ชาวอเมริกันที่ Harvard ก็ได้ค้นพบกฎเช่นกัน ซึ่งค้นพบหลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2

ต่อมาในปี 1979 มีนักเขียนชาวอังกฤษที่ชื่อว่า Richard Koch ได้เขียนหนังสือชื่อ “The 80/20 Principle” และขายดีอย่างมาก ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผู้คนรู้จักกฎนี้มากยิ่งขึ้นจนถึงปัจจุบัน

ทำไมกฎ 80/20 หรือหลักการพาเรโตจึงสำคัญ?

blank

เราทุกคนมีทรัพยากรเวลาและพลังงานที่จำกัดในแต่ละวัน ดังนั้นเราไม่สามารถทำทุกอย่างได้ จึงต้องมีการเลือกว่าจะทำสิ่งไหน

ซึ่งหลักการที่จะมาช่วยให้เราเลือกให้อย่างมีประสิทธิภาพนั้นคือ กฎ 80/20 พูดง่าย ๆ ก็คือ กฎนี้จะช่วยให้เรากำหนดได้ว่าเราควรจะทุ่มเททรัพยากรที่มีจำกัดเวลาและพลังงานไปกับอะไรเพื่อให้เกิดผลลัพธ์ประสิทธิภาพสูงสุด

“กฎ 80/20 ทำให้เราตระหนักว่าว่าทุน เวลา และพลังงานมีจำกัด จึงต้องโฟกัสเฉพาะสิ่งที่สำคัญที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ได้”

การบริหารเวลาและพลังงานก็คือ การบริหารชีวิต ถ้าเราบริหารเวลาและพลังงานได้ดี ก็เท่ากับว่า เราบริหารชีวิตได้ดีเช่นกัน

กฎ 80/20 จึงเป็นเครื่องมือหรือแนวคิดด้านบริหารเวลาและการจัดการชีวิตที่สำคัญที่สุด

ประสิทธิภาพ VS ประสิทธิผล

ถ้าเราอยากเข้าใจกฎ 80/20 เราต้องทำความเข้าใจเรื่องประสิทธิภาพและประสิทธิผลเสียก่อน

ประสิทธิภาพคือการทำสิ่งต่าง ๆ ให้สำเร็จมากยิ่งขึ้น (จำนวน)

ประสิทธิผลคือการทำสิ่งที่ถูกต้องให้สำเร็จ (ถูกจุด)

สิ่งที่เราควรโฟกัสคือ ประสิทธิผลมากกว่าประสิทธิภาพ Peter Drucker ที่ปรึกษาด้านการจัดการที่ได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการจัดการสมัยใหม่ยืนยันแนวคิดนี้ว่า “ไม่มีอะไรจะไร้ประโยชน์เท่ากับการทำในสิ่งที่ไม่ควรทำเลย”

จึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องตัดสินใจว่า “สิ่งที่ควรทำ สิ่งที่ถูกต้อง ถูกจุด” คืออะไร ซึ่งแนวคิดของกฎ 80/20 สามารถเข้ามาช่วยเราได้ครับ

เพราะหัวใจของกฎ 80/20 คือ การเลือกทำสิ่งที่สำคัญที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่ควรทำ หรือจะบอกว่ากฎนี้ช่วยให้เรามองหาสิ่งที่จะช่วยให้ได้ “ประสิทธิผล”

ความเข้าใจผิด ๆ เกี่ยวกับกฎ 80/20

  1. สัดส่วนต้อง 80/20 เป๊ะ ๆ

สมมติว่าเรามี 10 อย่างที่ต้องทำ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องมีเพียง 2 สิ่งที่ต้องทำเท่านั้นที่จะให้ผลลัพธ์ดีที่สุด (20% ของ 10 สิ่งที่ต้องทำ) บางทีเราอาจจะมี 3 สิ่งที่ต้องทำที่จะสร้างผลลัพธ์มากที่สุดก็ได้

  1. ไม่ได้หมายความว่าอีก 80% จะไม่ทำ

แน่นอนว่าเราจะมีสิ่งที่ต้องทำบางอย่างที่มูลค่าต่ำ แต่จำเป็นต้องทำให้เสร็จ เช่น การซักผ้า จ่ายบิล ทำความสะอาดบ้าน การไม่ทำสิ่งเหล่านี้จะสร้างผลด้านลบในชีวิตได้

  1. ใช้กับธุรกิจเท่านั้น

แน่นอนว่าแนวคิด 80/20 นั้นได้รับความนิยมอย่างมากในโลกของธุรกิจ แต่ใช่ว่ามันจะใช้กับธุรกิจเพียงเท่านั้น เรายังสามารถพบกฎ 80/20 ได้ในแทบทุกด้านในชีวิต ไม่ว่าจะเป็นด้านกีฬา วิทยาศาสตร์ ซอฟต์แวร์ การแพทย์ ความสัมพันธ์ การเรียน ความเชื่อ เป้าหมาย นิสัย สุขภาพ และความสำเร็จ

80/20 เป็นวิถีชีวิตที่สามารถนำไปใช้ได้ในทุกด้านของชีวิต

  1. กฎ 80/20 เป็นเรื่องของความขี้เกียจ

ความเชื่อนี้ผิดอย่างมาก แนวคิด 80/20 นั้นเกี่ยวกับการค้นหาจุดที่จะให้ผลตอบแทนหรือมีประสิทธิภาพมากสูงสุด มันคือการคิดก่อนจะลงมือทำอะไร เพื่อค้นหาว่าอะไรจะสร้างผลกระทบได้มากที่สุด อะไรที่จะคุ้มค่าที่เราจะต้องใช้ทรัพยากรไปกับมัน

ไม่ใช่ความขี้เกียจ แต่เป็นการคิดให้มากเพื่อที่จะได้ลงมือทำอย่างชาญฉลาด

ตัวอย่างการใช้กฎ 80/20

กฎ 80/20 กับการตั้งเป้าหมาย

เราไม่สามารถใช้กฎ 80/20 ไม่ได้เลย ถ้าเราไม่รู้ว่าเราต้องการอะไร ต้องโฟกัสอะไร และต้องตัดอะไรออกไป แต่มีสมการหนึ่งที่จะช่วยแก้ปัญหานี้ให้เราได้

  1. ให้เริ่มต้นด้วยเป้าหมาย

เป้าหมายคือรากฐานของทุกอย่างในชีวิตและธุรกิจ ถ้าปราศจากเป้าหมาย เราก็จะไม่รู้ว่าเราก้าวต่อของเราควรจะก้าวไปในทิศทางไหน ดังนั้นทุก ๆ ครั้งที่ต้องตัดสินใจหรือต้องลงมือทำอะไร ให้ถามตัวเองว่า “สิ่งนี้ตอบโจทย์เป้าหมายของฉันหรือไม่?”

แต่หากเราไม่รู้ว่าเป้าหมายของเราคืออะไร เราก็จะไม่สามารถแยกแยะสิ่งที่สำคัญที่สุดออกจากสิ่งอื่น ๆ ได้ ดังนั้น สำหรับคนที่ยังไม่มีเป้าหมาย ก็ขอให้ตั้งเป้าหมายตั้งแต่วันนี้

ตัวอย่างเป้าหมาย

  • อยากมีเวลาอยู่กับคนที่รัก ครอบครัวมากขึ้น
  • อยากมีอิสระในการใช้ชีวิตตามเงื่อนไขที่ต้องการ
  • อยากหาเงินเพื่อท่องเที่ยวรอบโลก
  • อยากสร้างสินค้าที่เปลี่ยนแปลงผู้คน ทำให้พวกเขามีชีวิตที่ดีขึ้น
  • อยากสร้างความแตกต่าง และทำให้โลกใบนี้ดีขึ้น

การมีเป้าหมายเช่นด้านบนจะช่วยให้เรารู้ว่าอะไรคือ 20% ที่เราควรจะทุ่มเทให้

เวลาตั้งเป้าหมายแนะนำให้ใช้กลยุทธ์การตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goal (ใครที่อยากรู้จัก SMART Goal สามารถคลิกอ่านได้ที่นี่ครับ เทคนิคการตั้งเป้าหมายแบบ SMART Goals)

  1. สร้างรายการที่ต้องทำ

เมื่อเราได้เป้าหมายแล้ว ให้โยนความคิดทุกอย่างที่สามารถนึกออกได้ว่าต้องทำอะไรบ้างถึงจะบรรลุเป้าหมายได้

แล้วเขียนมันลง ยิ่งเยอะได้เท่าไหร่ยิ่งดี

เช่น เราเขียนออกมาได้ 10 อย่างที่ทำแล้วจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนั้นได้

  1. มองหา 20% ที่จะทำให้บรรลุเป้าหมายได้เร็วที่สุด

เมื่อได้รายการที่ต้องทำทั้ง 10 อย่างแล้ว ให้จัดลำดับความสำคัญโดยใช้กลยุทธ์ 80/20 ด้วยการถามตัวเองว่า “รายการไหนคือ 20% ที่ทำแล้วจะสร้างผลลัพธ์ได้มากที่สุด?”

เมื่อได้คำตอบก็ให้วงกลมทั้ง 2 อย่างนั้น (20%)

  1. ลงมือทำทันที

เมื่อได้คำตอบแล้วว่าอะไรคือ 20% ที่ต้องลงมือทำ ก็ถึงขั้นตอนที่สำคัญที่สุด คือ “ลงมือทำทันที”

ลงมือทำทันทีและบอกตัวเองว่า เราต้องรับผิดชอบต่อมัน จะทำมันทุกวันจนกว่าจะสำเร็จ

สรุป

  1. ตั้งเป้าหมาย
  2. เขียนรายการที่ต้องลงมือทำ
  3. มองหา 20%
  4. ลงมือทำทันที

กฎ 80/20 กับการแก้ปัญหา

การแก้ปัญหาเป็นหนึ่งในทักษะที่ส่งผลต่อความสำเร็จในชีวิต ถ้าเราต้องการแก้ปัญหาได้อย่างมีประสิทธิภาพ ลองใช้กฎ 80/20 เข้ามาช่วย

  1. สร้างรายการปัญหาที่กำลังเผชิญอยู่ เขียนสิ่งที่เป็นปัญหาออกมาให้หมดอย่างละเอียด
  2. กำหนดว่าแต่ละปัญหาเกิดจากอะไร ค้นหาสาเหตุที่แท้จริง เกิดอะไรขึ้นกันแน่
  3. เมื่อได้รายการของปัญหา ให้เราให้เรียงความสำคัญโดยยึดว่าปัญหาไหนที่เมื่อแก้ไขได้แล้วจะส่งผลกระทบต่อผลลัพธ์ในทางที่ดีมากที่สุด (สิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญที่สุด 20%)
  4. เริ่มต้นด้วยปัญหาที่สำคัญอันดับ 1 ที่จะส่งผลกระทบต่อความสำเร็จ ความสุขของเรามากที่สุด โดยเริ่มจากระดมความคิดเกี่ยวกับวิธีการแก้ปัญหาที่เป็นไปได้ออกมาให้เยอะที่สุด
  5. ตัดสินใจนำวิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุดไปใช้
  6. ลงมือแก้ปัญหาทันที

เคล็ดลับเพิ่มเติม : เวลาเผชิญปัญหา แทนที่จะพูดว่า ปัญหา ให้พูดว่า โอกาสแทน

กฎ 80/20 กับความสัมพันธ์

ไม่มีความสัมพันธ์ใดที่สมบูรณ์แบบ กฎ 80/20 สามารถนำไปใช้กับความสัมพันธ์ได้หลายวิธี เช่น

  • เลิกกังวลเกี่ยวกับ 80% ของสิ่งเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ทำให้ความสัมพันธ์ไม่ราบรื่นจนทำให้ภาพรวมของความสัมพันธ์มีปัญหา
  • การสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรัก การทำความเข้าใจว่า 80% ของปัญหาที่คู่รักต้องเผชิญนั้นเกิดจากการกระทำหรือพฤติกรรมเพียงเล็กน้อย 20% (ให้ค้นหา 20% นี้ให้เจอแล้วลงมือแก้ไข) หรืออีกนัยหนึ่ง เราต้องระบุสาเหตุที่แท้จริง (ส่วน 20%) ของความขัดแย้ง พูดคุยเรื่องนี้กับคนรัก และพยายามพัฒนาให้มันดีขึ้นด้วยกัน สิ่งนี้จะเป็นประโยชน์มากกว่าที่จะไปจมอยู่กับพฤติกรรม 80% ที่
  • ถ้าเราสังเกตจะพบว่า 80% ของความผิดหวังในความสัมพันธ์นั้นเกิดจากปัญหาเพียง 20%
  • ในแง่ของการใช้เวลาในความสัมพันธ์ เวลา 100% จะมีเพียงแค่ 20% เท่านั้นที่ใช้ร่วมกันอย่างมีคุณภาพ จดจ่อ และมีความหมาย ดังนั้นเราต้องใส่ใจช่วงเวลานี้ให้มาก ๆ

กฎ 80/20 กับการบริหารเวลาและชีวิต

ความยุ่งเป็นศัตรูของกฎ 80/20 หลายคนมักเชื่อว่าการยุ่ง การทำมาก ทำงานหนักจะสร้างผลลัพธ์ได้ดีที่สุด แต่การทำเช่นนี้จะทำให้ความสมดุลของชีวิตนั้นบิดเบี้ยวไป ส่งผลสุขภาพย่ำแย่ลง ความสัมพันธ์แย่ลง นำไปสู่ความรู้สึกเศร้า เบื่อ หมดไฟ ซึ่งยิ่งทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานนั้นลดน้อยลงไปอีก

เพื่อหลุดจากวงจรนี้ เราต้องนำกฎ 80/20 มาใช้ด้วยการระบุว่า “อะไรคือ 20% เมื่อลงมือทำแล้วสร้างผลลัพธ์หรือสร้างรายได้มากกว่า 80% ของทั้งหมด” แล้วเลือกทำเฉพาะสิ่งนั้น

เราไม่จำเป็นต้องทุกอย่าง เราแค่ต้องเลือกทำสิ่งที่จะสร้างผลลัพธ์มากที่สุด ซึ่งการทำแบบนี้ จะทำให้เรามีเวลามากขึ้นเพื่อใช้ไปกับสิ่งที่มีค่า มีความหมาย สร้างความสุข เช่น ใช้เวลาผ่อนคลาย ออกกำลังกาย อยู่กับคนที่รักได้มากขึ้น

กฎ 80/20 กับการสร้างนิสัย

Brain Tracy นักเขียน นักพูดสร้างแรงบันดาลใจระดับโลกกล่าวไว้ว่า “นิสัยกำหนด 95% ของพฤติกรรมของบุคคล”

นิสัยส่งผลต่อทุกด้านของชีวิตเรา คนที่ประสบความสำเร็จได้ในทุกวันนี้ก็เพราะนิสัยที่พวกเขาเคยบ่มเพาะไว้ ดังนั้น ถ้าเราลดนิสัยที่แย่ และสร้างนิสัยที่ดีขึ้น ก็จะเพิ่มโอกาสที่ประสบความสำเร็จได้มากยิ่งขึ้น

ให้ถามตัวเองว่า วันนี้กิจวัตรประจำวันของเรามีอะไรบ้าง? นิสัยอะไรที่ปิดกั้นให้เราไม่ประสบความสำเร็จ? มีนิสัยอะไรเพียงไม่กี่นิสัยสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงในชีวิตได้? เช่น การทำสมาธิ การอ่านหนังสือ การตื่นเช้าเร็วขึ้น

เพียงแค่เราบ่มเพาะหรือลดนิสัยแย่ ๆ บางอย่างแค่ 20% ก็สามารถส่งผลต่อชีวิตโดยรวมของเราได้

บทสรุป

กฎ 80/20 แสดงให้เรารู้แล้วว่า สิ่งที่คนเราต้องการส่วนใหญ่มักได้มาจากการกระทำไม่กี่อย่าง และผลลัพธ์ที่ยยิ่งใหญ่มักเกิดจากการทำให้น้อยกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดคิด

เราสามารถนำกฎนี้ไปใช้ได้กับทุกแง่มุมในชีวิต ใช้เป็นเครื่องเตือนใจทุกวันว่าให้ทุ่มเทเวลาและพลังงานไปกับกิจกรรมเพียง 20% ที่จะทำให้เกิดผลลัพธ์ 80%

โดยสรุปแล้วแนวคิดนี้คือศิลปะแห่งการเลือกสิ่งที่สำคัญจริง ๆ หรือถ้าจะสรุปกฎ 80/20 ในหนึ่งประโยค ก็คงจะหนีไม่พ้นประโยคนี้ “อย่าเอาแต่ทำทำทำ แต่จงเลือกอย่างชาญฉลาดแล้วค่อยลงมือทำ”

ดังนั้น ถ้าอยากประสบความสำเร็จด้วยการใช้กฎนี้ นับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ให้ถามตัวเองทุก ๆ วันว่า “อะไรคือ 20% ที่ถ้าได้ทำแล้วสามารถให้ผลลัพธ์มากที่สุด” แล้วมุ่งทำสิ่งนั้นตั้งแต่วินาทีนี้เลย

แล้วพบกันที่ปลายทางของความสำเร็จครับ! 💪

อ่านจบแล้ว รู้สึกยังไงบ้าง ช่วยบอกเราหน่อยครับ 🙏
26 responses
OMG
OMG
6
Love
Love
17
Like
Like
3
Sad
Sad
0
Dizzy
Dizzy
0
Sleepy
Sleepy
0