หนึ่งวิธีการที่เราจะเรียนรู้ชีวิตและเข้าใจชีวิตได้เร็วที่สุดคือ การเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่น
มันจะดีแค่ไหน ถ้าเราได้เรียนรู้บทเรียนชีวิตที่แสนมีค่า โดยที่เราไม่ต้องไปลองผิด ลองถูก ไปผิดพลาด ไปล้มเอง
สิ่งนี้มีค่าอย่างมาก ถ้าเราเลือกที่จะเรียนรู้จากมัน
ซึ่งในหนังสือ “ความลับ 5 ข้อที่คุณต้องค้นให้พบก่อนตาย” ได้รวบรวมสิ่งมีค่าเหล่านี้ให้เราด้วยการสัมภาษณ์ผู้คนอายุ 60-105 ปี
โดยเมื่อนับรวมอายุทุกคนแล้ว จะได้ประสบการณ์ชีวิตรวมแล้วกว่า 18,000 ปี!
(ถ้าเราใช้ชีวิต คงต้องเกิดอีกประมาณ 200 กว่าชาติถึงจะได้มีประสบการณ์ได้ขนาดนั้น)
บทเรียนเหล่านี้คือ สิ่งที่เราทุกคนควรจะเรียนรู้ เป็นทางลัดที่ดีที่สุด และเป็นสิ่งที่มีค่ากว่าความสำเร็จใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะเราจะดำเนินชีวิตได้ด้วยความรู้สึกมั่นใจว่าสักวันหนึ่ง ในช่วงเราอายุประมาณ 60-105 เราจะไม่นึกหวนกลับมาเสียดายชีวิตวัยหนุ่ม ที่ทำไมเราไม่ทำอย่างนั้น อย่างนี้
นั่นคือสิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับพวกเรา
เพราะชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะลองผิดลองถูกมากเกินไป ดังนั้น ลองอ่านความลับทั้ง 5 ข้อนี้นะครับ
ความลับ 5 ข้อที่ต้องค้นให้พบก่อนตาย จากประสบการณ์ชีวิตรวมกันแล้วกว่า 18,000 ปี
ซื่อสัตย์กับตนเอง

จงซื่อสัตย์กับตนเองกับตัวตนของคุณและใช้ชีวิตอย่างจุดหมาย
หมั่นตรวจสอบชีวิตตัวเองอยู่อย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้แน่ใจว่าชีวิตกำลังมุ่งสู่เป้าหมายที่เราต้องการ
เพราะไม่เช่นนั้น เป็นไปได้ว่า เราจะลงเอยด้วยการดำเนินชีวิตของคนอื่นแทน
จงใคร่ครวญให้มากขึ้น ถามตนเองครั้งแล้วครั้งเล่า ว่าชีวิตของกำลังมุ่งไปยังทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่
อย่างที่เฮนรี เดวิด ทอโรกล่าวไว้ว่า “โศกนาฏกรรมยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต คือ การใช้เวลาทั้งชีวิตตกปลาเพียงเพื่อจะพบว่า มันไม่ใช่ปลาตัวที่คุณต้องการ”
หากอยากซื่อตรงต่อตนเอง สิ่งหนึ่งต้องทำ คือ มีวินัยในการฟังหัวใจตัวเอง
วินัยในการฟังหัวใจตัวเองหมายถึง การหาเวลาถามคำถามสำคัญ ใคร่ครวญชีวิตเป็นประจำ
ลองถามคำถาม 3 ข้อสำคัญนี้ ตั้งแต่ตอนนี้
- ฉันกำลังเดินตามหัวใจตัวเอง และซื่อสัตย์กับตัวตนของฉันเองหรือไม่?
- ฉันจดจ่ออยู่กับสิ่งที่สำคัญต่อชีวิตฉันจริง ๆ อยู่หรือไม่?
- ฉันเป็นคนในแบบที่ฉันอยากจะเป็นในโลกนี้แล้วหรือยัง?
อย่าปล่อยให้เสียดาย
ความตายไม่ใช่สิ่งที่เรากลัวที่สุด แต่ความเสียดายและการเสียใจให้แก่อดีตต่างหาก
เรากลัวว่าอาจมองย้อนไปในชีวิตแล้วนึกอยากทำสิ่งต่าง ๆ ให้ต่างจากเดิม
เรากลัวว่าจะไม่ได้ใช้ชีวิตอย่างเต็มที่เท่าที่ทำได้
เรากลัวจะเสียดายที่ไม่ได้ลองพยายามทำสิ่งที่อยากทำ
เรากลัวว่าจะถึงบั้นปลายชีวิต แล้วพูดเป็นครั้งสุดท้ายว่า “ฉันน่าจะ……”
วันนั้นฉันน่าจะกล้าทำตามความฝัน? วันนั้นฉันน่าจะเที่ยวให้เยอะขึ้น? วันนั้นฉันน่าจะใช้เวลากับพ่อแม่ให้มากกว่านี้?
แต่หากเราใช้ชีวิตอย่างเต็มที่และทำในสิ่งที่หวังว่าจะทำแล้ว เราจะยอมรับความตายได้อย่างสบายใจ และไม่รู้สึกเสียดายและเสียใจไปกับอดีต เพราะไม่มีสิ่งใดติดค้างคาใจอีกแล้ว
ตั้งแต่วันนี้ จงอย่าปล่อยให้เสียดาย ดำเนินชีวิตอย่างกล้าหาญ มุ่งไปยังสิ่งที่ต้องการ ไม่ใช่วิ่งหนีสิ่งกลัว และหลบหลีกความล้มเหลว
เพราะในบั้นปลาย คนส่วนใหญ่จะไม่พูดว่าเสียดายที่ฉันล้มเหลว แต่จะพูดว่า ตัวเองน่าจะกล้าหาญและเสี่ยงมากกว่านี้
หมั่นถามตัวเอง 2 คำถามนี้
- “วิธีการใช้ชีวิตในตอนนี้ จะพาฉันไปสู่ทางแห่งความเสียใจในภายหลังไหม?”
- “หากมีเวลาเหลือแค่ 6 เดือน ต่อจากนี้ ฉันจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร”
ใช้ชีวิตด้วยความรัก

ในบั้นปลายชีวิต ยามที่เหลือเวลาน้อยแล้ว ความรักเป็นสิ่งเดียวที่เราจะใส่ใจจริง ๆ เพราะความรักเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของชีวิตที่มีความสุขและมีจุดหมาย
2 สิ่งที่ต้องตระหนักคือ รักตัวเอง และให้สร้างความสัมพันธ์ที่ดีต่อผู้อื่นด้วยความรัก
จงดำเนินชีวิตด้วยความการเลือกที่จะเป็นคนซึ่งมีความรักในหัวใจ เลือกที่จะใช้ชีวิตด้วยความรัก
เพราะเมื่อเราเลือกที่จะรักในทุกสถานการณ์ชีวิต เลือกให้ความรักและเมตตาเป็นแนวทางชีวิต ความสุขย่อมค้นพบเรา
“เมื่อเราได้ให้ความรัก ความรักจะกลับมาหาเราในรูปของความสุข” นี่คือความลับ
หมั่นถามตัวเองว่า “ฉันรักและเมตตาต่อคนใกล้ชิดหรือเปล่า?” และ “ฉันรักตัวเองอยู่หรือเปล่า?”
อยู่กับปัจจุบัน
วลีที่พบบ่อยที่สุดของกลุ่มคนที่อายุมากแล้วคือ เวลาผ่านไปเร็วเหลือเกิน
พวกเราตอนวัยหนุ่มเชื่อว่าเรามีเวลาล้นเหลือ แต่ไม่นานพออายุเริ่มมากขึ้น เราก็จะพบความจริงว่ามันหาเป็นเช่นนั้นไม่
จงใช้ชีวิตให้เต็มที่ ตัดสินชีวิตให้น้อยลง และมีความสุขกับชีวิตให้มากขึ้น พร้อมไม่จมอยู่กับอดีตหรืออนาคต อย่างที่ลี โอบัสถาเกลียพูดไว้ว่า “ชีวิตที่อยู่เพื่อวันพรุ่งนี้ จะไกลห่างการปรากฏเป็นจริงไปหนึ่งวันเสมอ”
ดังนั้น เราต้องใช้ประโยชน์จากเวลาที่มีอยู่ให้มากที่สุด หาวิธีทำให้แต่ละวันแต่ละเวลากลายเป็นของขวัญอันประเสริฐที่สุด ที่เราจะมอบให้ตัวเองได้
หมั่นถามตัวเองว่า “ฉันมีความสุขเต็มที่กับทุกสิ่งที่กำลังทำในปัจจุบันอยู่ไหม?”
ให้มากกว่ารับ

สิ่งสำคัญในชีวิต แท้จริงคือสิ่งที่เราทิ้งไว้ข้างหลัง มันคือบางสิ่งที่เปลี่ยนไปเพราะมีเราอยู่บนโลกนี้
เพราะไม่ช้าก็เร็ว ในที่สุดเราจะเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่า เราเอาอะไรไปกับเราไม่ได้เลย แต่เราเลือกที่จะทิ้งอะไรบางอย่างไว้ข้างหลังได้
บางอย่างซึ่งลูก ๆ ของเราได้ประโยชน์
บางอย่างซึ่งสังคมของเราได้ประโยชน์
บางอย่างซึ่งประเทศชาติของเราได้ประโยชน์
บางอย่างซึ่งมนุษยชาติของเราได้ประโยชน์
บางอย่างซึ่งสิ่งมีชีวิตเหมือนเราได้ประโยชน์
บางอย่างซึ่งโลกใบนี้ของเราได้ประโยชน์
และอย่างที่ในหนังสือเล่มนี้ได้บอกไว้ “คนที่มีความสุขมากที่สุด คือ คนที่จมอยู่กับตนเองน้อยที่สุด”
นั่นคือความแท้จริงว่า ความสุขสูงสุดในชีวิตมาจากสิ่งที่เราให้ออกไป สละออกไป หาใช่จากสิ่งที่เรารับเข้ามา
ดังนั้น ยิ่งเราเป็นผู้ให้มากเพียงใด เราก็ยิ่งได้รับความสุขกลับมามากเพียงนั้น
จงอุทิศตัวเพื่อทำโลกใบนี้ดีกว่าตอนที่เรามาพบมัน นี่คือสิ่งที่เราควรทำก่อนที่จะลาลับจากมันไป
หมั่นถามตัวเองว่า “ฉันกำลังใช้ชีวิตเสมือนว่าในงานศพของฉัน จะมีผู้คนมากมายพูดอาลัยเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตของฉันได้นานเป็น 10 ชั่วโมงหรือไม่?
บทสรุป
ไม่ว่า ณ ตอนนี้เราจะอายุเท่าไหร่ อยู่ในวัยไหน เราต่างไม่รู้เลยว่าเมื่อไหร่ จะเป็นวันสุดท้ายของเรา
ดังนั้น เราต้องใช้ชีวิตในปัจจุบันด้วยความดื่มด่ำให้เต็มที่ ทำสิ่งที่อยากทำ ทำสิ่งที่ควรทำ ซื่อสัตย์ต่อหัวใจตัวเอง ใช้ชีวิตด้วยความรู้สึกรัก รักตัวเอง รักผู้อื่น พร้อมให้ผู้คนอื่นมากกว่าจะรับจากพวกเขา
และที่สำคัญที่สุด ทิ้งมรดกในด้านที่ดีไว้ให้ลูกหลานของเราได้ชื่นชมกันครับ
สุดท้ายนี้ อยากขอทิ้งท้ายด้วยประโยคนี้เพื่อเป็นกำลังใจ เป็นแรงบันดาลใจให้กับพวกเราทุกคนครับ (รวมถึงไว้เน้นย้ำตัวเอง)
“ไม่มีคำว่าสายเกินไปที่จะดำเนินชีวิตตามความลับทั้งห้า”
ขอให้มีชีวิตที่มีความสุขและมีความหมายครับ! 🙌🏻
Leave a Comment