ศักยภาพในการสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยไม่ได้เริ่มต้นที่สิ่งที่ทำ แต่เริ่มต้นจากวิธีคิดของเรา
ครั้งหนึ่งไอน์สไตน์เคยพูดไว้ว่า “โลกที่สร้างขึ้นนั้นเกิดจากกระบวนการคิดของเรา เราไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้เลย ถ้าไม่เปลี่ยนที่ความคิดของเรา”
ดังนั้น อย่างที่ไอน์สไตน์บอก ทุกสิ่งเริ่มต้นด้วยความคิด ถ้าเราอยากรวย เราก็ต้องเรียนรู้ว่าคนที่ร่ำรวยอย่างแท้จริงด้วยตัวเองนั้นมีวิธีคิด วิธีมองโลกอย่างไร ย้ำว่ารวยด้วยตัวเองไม่ได้รวยจากบ้านรวยนะครับ
อยากเน้นย้ำแนวคิดนี้ด้วยคำพูดของนโปเลียน ฮิลล์ นักเขียนที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในโลก หนังสือของเขาถูกขายไปแล้วกว่า 100 ล้านเล่มทั่วโลก เขาเคยพูดไว้ว่า “ความสำเร็จทั้งหมด ความร่ำรวยทั้งหมด มีจุดเริ่มต้นจากความคิด”
วิธีคิดจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีที่สุด เป็นทางลัดที่สุดที่เราควรเรียนรู้ตั้งแต่ตอนนี้
10 วิธีคิดคนที่รวยด้วยตนเองมี คิดแบบนี้ จะช่วยให้เพิ่มโอกาสรวยเร็วขึ้น 💰
คิดระยะยาว

จากข้อมูลของ entrepreneur เขาได้อ้างอิงข้อมูลการสำรวจของสถาบันเพื่ออนาคตในปี 2017 พบว่า 53% ของผู้ที่ตอบแบบสอบถาม ไม่คิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขาใน 30 ปีข้างหน้า และ 60% พวกเขาคิดถึงเพียง 1 เดือนข้างหน้าเท่านั้น
จะเห็นได้ว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดระยะยาวกันสักเท่าไหร่ แต่นี่คือความแตกต่าง คนที่ร่ำรวยหรือประสบความสำเร็จ พวกเขาไม่คิดถึงแต่ปัจจุบันเท่านั้น พวกเขามีวิสัยทัศน์ พวกเขาคิดในระยะยาว มองภาพอนาคตที่พวกเขาใฝ่ฝัน มองเห็นศักยภาพที่สามารถเกิดขึ้นในอนาคตของตัวเอง พวกเขาตั้งเป้าหมายไม่ใช่แค่ 1 เดือน 1 ปี แต่กินเวลาหลายปีหรือถึง 10 ปี 20 ปีด้วยซ้ำ
หนึ่งเหตุผลที่สำคัญของการคิดระยะยาวคือ มันบังคับให้เราตั้งคำถามกับตัวเอง เช่น “ฉันจะเพิ่มเป็น 2 เท่าได้ยังไง?” “ฉันจะมีเงิน 10,000,000 บาท ภายใน 5 ปียังไง?” “จะทำธุรกิจอะไรดี เพื่อให้ในอนาคต 10 ปีข้างหน้าไม่ต้องทำงานอีกตลอดชีวิต?”
ถ้าเราไม่คิดในระยะยาว ยากมากที่เราจะถามถึงอนาคตข้างหน้า เราจะคิดแค่ปัจจุบัน คิดแค่ไม่กี่วันข้างหน้า ซึ่งการคิดในระยะสั้นแบบนี้ มันไม่ทำให้เราตื่นเต้นพอที่จะมาลงมือทำอะไรที่ทำให้ชีวิตแตกต่างไปจากเดิม
และที่สำคัญ การคิดระยะยาวบังคับให้เรามีความสามารถในการอดเปรี้ยวไว้กินหวาน หมายความว่า เราจะชะลอความอยากออกไปก่อน เพื่อค่อยเก็บเกี่ยวมันทีเดียวตอนเสร็จภารกิจ
“หากคุณคิดในระยะยาว คุณจะสามารถตัดสินใจในชีวิตได้ดีขึ้นมาก การตัดสินใจที่จะไม่ทำให้คุณเสียใจภายหลัง” — Jeff Bezos
เชื่อมั่นในอำนาจของตนเอง
ความเชื่อมีผลต่อชีวิตเรามหาศาล ทุกการตัดสินใจเริ่มต้นด้วยความเชื่อ เราตัดสินใจบนพื้นฐานของสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็นความจริง
เราเชื่อเช่นไร ผลลัพธ์ในชีวิตที่จะได้ก็จะเป็นเช่นนั้น
สิ่งที่แยกคนรวยออกจากคนทั่วไปคือ ความเชื่อที่นักจิตวิทยาเรียกว่า ความเชื่อในอำนาจควบคุม (Locus of control) ซึ่งเป็นความเชื่อที่ว่า “เราคือผู้กุมชะตาของตัวเอง” คนที่มีความเชื่อแบบนี้จะมองตนเองว่าเป็นผู้ต้องรับผิดชอบทุกอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตของตัวเอง หรือเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตล้วนเป็นผลมาจากการกระทำของตัวเองและยังเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเราสามารถควบคุมได้ เช่น หากพวกเขาลงทุนสร้างธุรกิจหนึ่งขึ้นมา แล้วเกิดล้มเหลวไม่เป็นท่า พวกเขาจะยืดอกและยอมรับว่าทุกอย่างเราต้องเป็นผู้รับผิดชอบแล้วพวกเขาก็จะเรียนรู้จากความล้มเหลวนั้น นี่เป็นสิ่งที่ควบคุมได้ แล้วก้าวเดินต่อไป
เพราะพวกเขาเชื่อว่าตัวเองกำหนดชะตากรรมของชีวิตตัวเอง เชื่อในอำนาจในมือของตัวเอง ไม่ปล่อยให้เป็นเรื่องของโชคชะตา พวกเขาจึงยืนขึ้นด้วยตัวเอง โดยไม่รอใครยื่นมือมาดึงเขาขึ้น แล้วลงมือทำสิ่งต่าง ๆ ที่เขาเชื่อให้เกิดขึ้นด้วยมือของตัวเอง
จงทำสิ่งต่าง ๆ ให้เกิดขึ้นด้วยมือเรา ไม่ใช่ปล่อยให้สิ่งต่าง ๆ เกิดขึ้นกับเรา
อย่าทำงานเพื่อเงิน แต่จงทำงานเพื่อเรียนรู้
เมื่อวอร์เรน บัฟเฟตต์เรียนจบจากมหาวิทยาลัยโคลัมเบีย เขาเสนอขอทำงานฟรีที่บริษัทการลงทุนของ Benjamin Graham ผู้ซึ่งเป็นอาจารย์และที่ปรึกษาของเขา
ทำไมคนที่หลงรักเรื่องการเงินอย่างเขา จึงเสนอทำงานฟรี? ทำไมเขาถึงไม่พยายามหางานที่มีเงินเดือนสูงที่สุดตอนเรียนจบล่ะ?
เพราะบัฟเฟตต์รู้ดีว่าการทำงานที่นั่นจะทำให้เขาร่ำรวยยิ่งกว่าเลือกทำงานที่อื่น แม้จะได้รับเงินสูงก็ตาม เขาไม่ได้คาดหวังเงินเดือน แต่คาดหวังความรู้ที่เขาจะได้รับเกี่ยวกับการทำเงินในตลาดหุ้น
เขารู้ว่าเขาไม่สามารถรวยได้ด้วยเงินเดือนเพียงอย่างเดียว ดังนั้นเขาจึงมองหาวิธีเพิ่มความรู้และทักษะเพื่อมุ่งไปที่เป้าหมายระยะยาวในการสร้างความมั่งคั่ง
(สำหรับใครอยากศึกษาวอร์ไปปรับใช้ในชีวิตขเรน บัฟเฟตต์ ผมได้เขียนบทความรวบรวม 10 เคล็ดลับความสำเร็จของเขาไว้ สามารถอ่านได้ที่นี่ครับ เคล็ดลับความสำเร็จวอร์เรน บัฟเฟตต์)
แม้ว่าพวกเราหลายคนจะไม่อยู่ในฐานะที่จะทำงานได้ฟรี แต่เรายังคงนึกถึงเรื่องนี้เมื่อต้องตัดสินใจในชีวิต โดยเฉพาะสำหรับคนที่เพิ่งจบใหม่ มันอาจจะดีกว่าในระยะยาวที่จะหางานโดยการใช้เหตุผลว่าจะได้เรียนรู้มากแค่ไหนมากกว่าจะได้เงินเดือนมากแค่ไหน เพราะความรู้นี้แหละ ในระยะยาวมันจะสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้เรา หาใช่คิดเดือนไม่
“การทำงานเพื่อเงินจะทำให้มีรายได้สูงเท่านั้น แต่จะไม่ได้ทำให้รวย”
อีกหนึ่งในบทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับแนวคิดนี้จากโรเบิร์ต คิโยซากิ ผู้เขียนหนังสือ Rich Dad Poor Dad เขาบอกเราว่าการที่เราไม่ได้ทำงานเพื่อเงินสำคัญแค่ไหน สิ่งนี้อาจดูขัดแย้งกับความคิดของเรานะครับ แต่เขามีเหตุผล เขาบอกว่า “การที่เราไม่ต้องคิดแต่เรื่องเงินเดือน ผลตอบแทน ทำให้เรามีอิสระทางความคิดและสามารถมองหาโอกาสอื่น ๆ ได้”
ในตอนนั้น หลังจากที่ผมอ่านข้อความนี้เสร็จ ผมก็นั่งทบทวนชีวิตที่ผ่านมา เวลาที่เรามัวแต่คิดเรื่องเงินเดือน ผลตอบแทน เราจะไม่ค่อยคิดหาโอกาสอะไรใหม่ ๆ อยากเรียนรู้อะไรใหม่ ๆ เราจะทำงานพอให้จบไปแต่ละวัน แล้วรอรับเงินปลายเดือน ผมก็ได้บทสรุปกับตัวเองว่า “เพราะการคิดถึงเงินเดือน มันไม่ได้ทำให้หัวใจเราเต้นแรง แต่เมื่อเราคิดถึงการเรียนรู้ สะสมความรู้ ประสบการณ์ ที่ซึ่งจะนำพาเราไปสู่ความฝันได้เร็วขึ้น หัวใจเราจะเต้นแรง”
แต่อย่าเข้าใจผิดว่า เงินเดือนยังเป็นสิ่งสำคัญนะครับ เพราะมันจะนำกระแสเงินสดในแต่ละเดือนมาสู่ชีวิตเรา เราสามารถนำเงินนี้มาเลี้ยงชีพและต่อยอดลงทุนต่าง ๆ ได้ แต่เพียงให้เราแน่ใจว่าเราเข้าใจข้อนี้ การทำงานเพื่อเงินไม่ใช่สิ่งที่จะสร้างความมั่งคั่งร่ำรวยให้กับเราได้
“การทำงานเป็นกระบวนการเรียนรู้ ไม่ใช่แค่กระบวนการแลกเปลี่ยนเวลาเพื่อเงิน”
ว่าแต่ว่า ตอนนี้คุณทำงานเพื่ออะไรนะครับ?
โอบรับทุกการเปลี่ยนแปลง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กหรือเรื่องใหญ่ ทุกการเปลี่ยนแปลงก็ดูน่ากลัวสำหรับมนุษย์เรา เพราะกลไกธรรมชาติของสมองเรา จะต่อต้านอะไรที่เสี่ยง และไม่แน่นอน แต่สำหรับคนที่ร่ำรวยนั้น พวกเขาต่อสู้กับภายในตนเองจนสามารถมีวิธีคิดต่อการเปลี่ยนแปลงในมุมของโอกาส
พวกเขามองว่าการเปลี่ยนแปลงทั้งหมด ทั้งบวกและลบ สามารถมองหาประโยชน์จากมันได้ทั้งหมด กลับกันคนทั่วไปมักเชื่อว่าทุกการเปลี่ยนแปลงจะส่งผลในด้านลบเกือบจะทั้งหมด
“ทุกการเปลี่ยนแปลง คือ โอกาสในการเติบโต”
การเรียนรู้ที่จะโอบรับการเปลี่ยนแปลง และยินดีที่จะเติบโตไปพร้อมมัน จึงเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าเราสังเกตคนที่ร่ำรวยด้วยตัวเองอย่าง Steve Jobs, Bill Gates หรือ Elon Musk พวกเขาล้วนร่ำรวยได้ด้วยใช้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงทั้งนั้น ดังนั้น เราต้องเริ่มปรับเปลี่ยนวิธีคิดที่มีต่อการเปลี่ยนแปลง แล้วเราจะมองเห็นโอกาสที่จะสร้างความร่ำรวยได้จากมัน
“ความสามารถในการเปลี่ยนแปลงคือเครื่องวัดความชาญฉลาด” — Albert Einstein
สลัดกรอบคิดของสังคม
เราเติบโตมาถูกสังคมบ่มเพาะความเชื่อที่ว่า คุณสมบัติเบื้องต้นหลายประการเกี่ยวกับการจะร่ำรวยได้นั้น คือ ต้องได้รับการศึกษาในระบบโดยมีแบบแผน ต้องเรียนมหาลัย ต้องจบคณะนี้ สาขานี้ มหาลัยนี้ แต่ผู้มั่งคั่งร่ำรวยที่สุดของโลกจำนวนหนึ่ง พวกเขาล้วนรู้และสอนตัวเองถึงวิธีหาเงิน โดยไม่ได้รับความช่วยเหลือหรือความรู้จากชั้นเรียนเลย หรือบางคนเรียนไม่จบด้วยซ้ำ
Jeff Bezos บุคคลที่ร่ำรวยอันดับ 1 ของโลก ผู้ก่อตั้ง Amazon เขาจบด้านวิศวกรรมไฟฟ้าและวิทยาการคอมพิวเตอร์ แต่วิชาเหล่านั้นไม่ได้ทำให้เขาร่ำรวยได้เลย เขาร่ำรวยมั่งคั่งได้จากธุรกิจค้าปลีกออนไลน์ เช่นเดียวกับ Steve Jobs, Mark Zuckerberg, Bill Gates, Lady GAGA หรืออย่าง Oprah Winfrey คนกลุ่มนี้ล้วนเป็นคนที่ร่ำรวยระดับโลก แต่พวกเขาก็ออกจากมหาวิทยาลัยกลางคันเพื่อออกมาไล่ตามความฝันทั้งนั้น และพวกเขาก็มองว่าการตัดสินใจแบบนั้น เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเขาเคยทำ
“วันนี้ คุณประสบความสำเร็จในสิ่งที่เยี่ยมยอด ซึ่งมีเพียง 92% ของคนอเมริกัน นั่นคือการจบการศึกษา ถูกต้อง ด้วยประกาศนียบัตรของคุณ ตอนนี้คุณมีความได้เปรียบมากกว่ากลุ่มคนทำงานอีก 8% ผมกำลังพูดถึงผู้แพ้ที่ลาออกกลางคันอย่างเช่น Bill Gates, Steve Jobs และ Mark Zuckerberg” — Conan O’Brien
แน่นอนครับว่าการศึกษาในระบบเพิ่มโอกาสที่จะยกระดับคุณภาพชีวิตให้ดีขึ้น แต่ถ้าเราอยากรวยมั่งคั่ง สิ่งเหล่านี้มีส่วนน้อยมาก เพราะทักษะการสร้างความร่ำรวยไม่ได้มีสอนอยู่ในระบบ ถึงมีก็จะล้าสมัย ปรับตัวไม่ทัน
หากต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับสร้างความมั่งคั่งร่ำรวย เราไม่จำเป็นต้องไปโรงเรียนเพื่อเรียนรู้ เราสามารถซื้อหนังสือ เรียนออนไลน์ หรือเรียนรู้จากคนที่มีประสบการณ์ตรง แบบนี้จะเป็นทางตรงมากกว่าที่จะไปเรียนในสิ่งที่เราอาจจะไม่ใช้เลยทั้งชีวิต
“การศึกษาในระบบจะทำให้คุณเลี้ยงชีพได้ แต่การศึกษาด้วยตัวเองจะเป็นตัวสร้างอนาคตให้คุณ” — Jim Rohn
เรียนรู้ที่จะยอมรับความเสี่ยง
หลายคนมีความฝัน แต่ก็ปล่อยให้ความกลัวรั้งตัวเองไว้ไม่ให้ตัดสินใจเดินตามความฝันนั้น เพราะกลัวเสี่ยงที่จะล้มเหลว
แทนที่จะกลัวที่จะเสี่ยง ให้มองว่าเพราะมันเสี่ยง เราจึงมีช่องทางในการเรียนรู้ เก็บเกี่ยวประสบการณ์ใหม่ ๆ ที่เราจะไม่เคยมี
เพราะมันเสี่ยง จึงมีผู้กล้าหาญไม่กี่เปอร์เซ็นต์ที่สามารถร่ำรวยด้วยตัวเองได้
“มนุษย์เราเติบโตได้ดีที่สุดจากความล้มเหลวและความผิดพลาด”
ริชาร์ด แบรนสัน มหาเศรษฐีที่สร้างเนื้อสร้างตัวมาด้วยตนเอง เขาเคยพูดว่า “ไม่มีใครหรอกที่ได้รับทุกสิ่งที่ต้องการตั้งแต่ครั้งแรก ธุรกิจก็เหมือนเกมหมากรุกขนาดยักษ์ เมื่อผิดพลาด คุณต้องเรียนรู้มันให้เร็ว นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จล้วนไม่กลัวความล้มเหลว พวกเขาเรียนรู้จากมันแล้วก้าวเดินต่อไป”
ในหนังสือ The Spiritual Millionaire ผู้เขียนได้ให้คำแนะนำวิธีการเอาชนะความกลัวด้วยการถามตัวเอง 3 คำถามนี้
- สิ่งที่ดีที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้คืออะไร?
- อะไรที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้?
- มีแนวโน้มว่าจะเกิดอะไรขึ้นมากที่สุด?
หากเราถามกับตัวเอง 3 คำถามนี้ จะช่วยให้เราได้คำตอบในเชิงลึกมากขึ้น และหากพบว่าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดที่อาจจะเกิดขึ้นได้ เป็นสิ่งที่เรายินดีรับได้ มีวิธีพร้อมรับมือกับมัน และเมื่อเทียบกับสิ่งที่ดีที่สุดที่อาจเกิดขึ้นได้แล้วคุ้มค่า ให้เดินหน้าลุยได้เลย
การใช้ชีวิตด้วยความคิดที่กลัวความเสี่ยงมากเกินไป จะทำให้เราย่ำอยู่กับที่ ซึ่งจะทำให้เราไม่มีวันไปถึงจุดที่เราสามารถสร้างความร่ำรวยให้ตัวเองได้เลย
“ถ้าคุณอยากเปลี่ยนโลก… จงลู่ไถลไปกับอุปสรรค ต้องกล้าเสี่ยงให้มาก” — Admiral William H. McRaven
ตั้งคำถามให้ใหญ่

ความแตกต่างอย่างหนึ่งระหว่างคนที่ร่ำรวยด้วยตัวเองกับคนทั่วไปคือ คำถามที่พวกเขาถามตัวเอง
คนรวยตั้งคำถามที่ส่งเสริมพลังให้แก่ชีวิตตัวเอง ส่วนคนทั่วไปตั้งคำถามที่ลดทอนพลังให้แก่ชีวิตตัวเอง เช่น “ฉันจะทำเงิน 1,000,000 บาท ภายในปีนี้ได้ยังไง?” กับ “ฉันจะทำยังไงให้เจ้านายขึ้นเงินเดือนให้?” คิดว่าแบบไหนให้พลังชีวิตเรามากกว่ากันครับ?
หรือเมื่อเผชิญอุปสรรค “ชีวิตกำลังมอบบทเรียนอะไรมาสอนฉัน?” กับ “ทำไมเรื่องแย่ ๆ มักเกิดขึ้นกับฉันเสมอ” คิดว่าแบบไหนให้พลังชีวิตเรามากกว่ากันครับ?
คำถามที่คุณถามตัวเอง จะเป็นตัวกำหนดผลลัพธ์ที่จะได้รับในชีวิต
แค่คำถามที่แตกต่าง นำไปสู่ความคิดที่แตกต่าง ความคิดที่แตกต่างนำไปสู่การกระทำที่แตกต่าง การกระทำที่แตกต่างนำไปสู่ผลลัพธ์ที่แตกต่าง
ความแตกต่างนี้เริ่มต้นจากแค่การตั้งคำถามกับตัวเอง แม้ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่ทรงพลังอย่างมาก
“แค่เปลี่ยนคำถาม ทิศทางชีวิตก็เปลี่ยน”
ฝึกตรวจสอบคำถามที่เราใช้ถามตัวเองบ่อย ๆ ว่าคำถามนี้ส่งเสริมพลังให้แก่ชีวิตหรือมันลดทอนพลังให้แก่ชีวิต
“ผมเชื่อว่าคุณภาพชีวิตของเราถูกกำหนดโดยคนที่เราพบ หนังสือที่เราอ่าน และคำถามที่เราถาม” — David DeNotaris
ไม่หวังพึ่งเงินเดือน
เมื่อกี้ผมเพิ่งไล่ดูลำดับ 100 คนที่ร่ำรวยที่สุดในโลก พบว่าไม่มีใครเลยที่ทำงานประจำออฟฟิศ ทุกคนล้วนทำธุรกิจบางอย่างในบางอุตสาหกรรม
ในหนังสือ How Rich People Think ผู้เขียนใช้เวลาหลายทศวรรษเพื่อศึกษาว่าคนที่ร่ำรวยที่สุด เขาพบว่า คนรวยแทบจะทั้งหมดมีเป็นนายของตัวเอง และเขาเน้นย้ำว่า “ผู้ยิ่งใหญ่ล้วนรู้ว่าการเป็นนายของตัวเองเป็นหนทางสู่ความมั่งคั่งที่เร็วที่สุด” ตรงกันข้ามกับการทำงานประจำ ซึ่งเป็นเส้นทางสู่ความร่ำรวยที่ช้าและยากมาก
แต่ไม่ได้หมายความว่าเราควรจะลาออกจากงานประจำตอนนี้นะครับ การทำงานประจำก็มีข้อดีของมัน มีความปลอดภัยกว่าการทำธุรกิจเยอะ แต่ข้อเสียหนึ่งที่สำคัญที่สุดคือ มันปิดกั้นความคิดและศักยภาพของเรา
เช่น การได้รับเงินเดือนที่ fix จะทำให้เรารู้สึกว่าคุณค่าหรือศักยภาพเรามีแค่นั้น ซึ่งแท้จริงเรามีศักยภาพมากกว่าจำนวนเงินเดือนที่ได้รับเยอะ
เงินเดือนเป็นอุปสรรคต่อระดับความคิดของเรา ระดับความคิดของเราจะเท่ากับความสามารถในการสร้างรายได้ ถ้าเราคิดว่าเรามีมูลค่าแค่รับเงินเดือน เดือนละ 15,000 เราก็จะได้รับแค่นั้น แต่คนที่กล้าออกมาทำธุรกิจ เขากล้าคิดใหญ่ขึ้น เขาเชื่อว่า เขามีมูลค่ามากกว่าที่จะรับเงินเดือน 15,000 นี่คือความแตกต่าง
ไม่หยุดเรียนรู้
ถ้าเราเดินไปบ้านของคนที่ร่ำรวยด้วยการสร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตนเอง เราจะพบชั้นวางหนังสือมากมายอย่างแน่นอน นั่นเพราะพวกเขาต้องอัพเกรดสมองของพวกเขาอย่างสม่ำเสมอ เพราะพวกเขารู้ความลับที่ว่า หนังสือบางเล่มที่ราคาไม่กี่ร้อย แต่ซ่อนมูลค่าไอเดียบางอย่างที่เขาสามารถนำไปใช้ได้ทำเงินต่อเป็นล้าน
ความร่ำรวยมั่งคั่งคือกระบวน ไม่ใช่ทำแล้วจบทีเดียว มันมีเส้นทางของมัน ดังนั้น ตั้งแต่วันนี้เราสามารถแบ่งรายได้ส่วนหนึ่ง ใช้ลงทุนไปกับความรู้ในสิ่งที่จะสามารถสร้างเงินให้เราได้ เพราะยิ่งเรามีความรู้ในการหาเงินมากเท่าไหร่ เราก็จะยิ่งมีโอกาสได้เงินมากขึ้นเท่านั้น
หากอยากรวย เราต้องพร้อมที่จะมีมากกว่าแค่ความอยาก เราต้องลงทุน ลงทุนในความรู้และต้องลงทุนอย่างต่อเนื่อง
“การลงทุนในความรู้ให้ผลตอบแทนดีที่สุด” — Benjamin Franklin
ให้คุณค่า

สิ่งหนึ่งที่เป็นหัวใจขับเคลื่อนสำหรับคนที่ร่ำรวยด้วยตนเองคือ พวกเขาคำนึงว่าจะมอบคุณค่าหรือแก้ปัญหาให้ผู้คนอื่นได้อย่างไรตลอดเวลา
- Bill Gates สร้าง Microsoft ขึ้นเพื่อมอบคุณค่าให้ผู้คนผ่านผลิตภัณฑ์เช่น Windows หรือ Microsoft Word
- Mark Zuckerberg สร้าง Facebook ขึ้นเพื่อมอบคุณค่าให้ผู้คนได้เชื่อมโยงกันและกันไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนในโลกใบนี้
- Jeff Bezos สร้าง Amazon ขึ้นเพื่อมอบคุณค่าให้ผู้คนได้เลือกของแทบทุกอย่างในเว็บเดียว และสั่งซื้อได้เพียงมีอินเทอร์เน็ต
- Larry Page สร้าง Google ขึ้นเพื่อมอบคุณค่าให้ผู้คนได้ค้นหาข้อมูลอะไรก็ได้ตามที่ต้องการ
จะเห็นได้ว่า ความมั่งคั่งร่ำรวยเป็นผลลัพธ์จากการที่สร้างผลกระทบหรือมอบคุณค่าให้แก่คนอื่น
“คุณค่า = มูลค่า”
ยิ่งเราให้คุณค่าผู้อื่นมากแค่ไหน เราจะได้รับมูลค่ากลับมามากขึ้นเท่านั้น
“เราเติบโตขึ้นจากการสร้างคุณค่าให้คนอื่น”
ดังนั้นถ้าอยากรวย ก็จงเพิ่มคุณค่า และถ้าอยากรวยมาก ๆ ก็จงเพิ่มคุณค่าให้มาก ๆ ถ้าอยากรวยเร็ว ๆ ก็จงหาวิธีเพิ่มคุณค่าให้มาก ๆ ด้วยเวลาที่รวดเร็ว
“พยายามอย่าเป็นคนที่ประสบความสำเร็จ แต่จงเป็นคนที่มีคุณค่า” — Albert Einstein
บทสรุป
อยากรวยต้องเริ่มต้นที่เปลี่ยนวิธีคิด เมื่อเปลี่ยนวิธีคิด เราจะเริ่มเปลี่ยนแปลงวิธีพูด และวิธีทำ
เมื่อเปลี่ยนวิธีทำ ผลลัพธ์ในชีวิตก็จะเปลี่ยน ดังนั้น ทุกอย่างเริ่มต้นที่วิธีคิด และวิธีที่จะรวยได้เร็วและดีที่สุดคือ copy วิธีคิดของคนที่รวย (ด้วยตัวเอง)
ผมหวัง 10 วิธีคิดนี้จะช่วยเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจหรือทำให้เกิดไอเดียบางอย่างที่สามารถนำไปปรับใช้ในชีวิตของเพื่อน ๆ ได้ครับ
แล้วพบกันที่ปลายทางแห่งความสำเร็จครับ 💪
Leave a Comment