ท่ามกลางคุณลักษณะและความสามารถมากมายที่นำไปสู่ความสำเร็จ แต่มีหนึ่งลักษณะที่คนประสบความสำเร็จทุกคนล้วนมีกันนั้นก็คือ “ความหลงใหล (Passion)”
ความหลงใหลเป็นคุณลักษณะพื้นฐานที่ขาดไม่ได้เลยสำหรับคนที่ต้องประสบความสำเร็จและมีความสุขในชีวิต เพราะมันเป็นแรงผลักดันที่ทรงพลังมากที่สุดในการบรรลุเป้าหมายใด ๆ ก็ตาม
คนที่ประสบความสำเร็จล้วนมีความหลงใหลในบางสิ่ง
“ถ้าไม่มีความหลงใหล คุณก็จะไม่มีพลังงาน หากไม่มีพลังงาน คุณก็จะไม่เหลืออะไรเลย” – Donald Trump
ผมพนันได้เลยว่า เราทุกคนล้วนเคยได้ยินมาหลายพันครั้งแล้วว่า เราต้องมีความหลงใหลนะถึงจะประสบความสำเร็จในชีวิตได้ แต่เคยคิดบ้างไหมครับว่า ทำไมความหลงใหลจึงสำคัญขนาดนั้น?
บทความนี้จึงเขียนขึ้นมาเพื่อตอบคำถามนี้
เรามีสิ่งที่หลงใหล (Passion) หรือยังครับ? ลองอ่าน 10 เหตุผลเหล่านี้ มันจะช่วยให้เราตระหนักว่า Passion นั้นสำคัญมากแค่ไหน
ความหลงใหล (Passion) คืออะไร?

ความหลงใหลหรือแพชชั่น คือ ความปรารถนาอย่างแรงกล้าหรือความกระตือรือร้นในบางสิ่ง บางอย่าง มันจะปลุกหัวใจให้เราเต้นเร็วกว่าปกติ มันจะมอบความตื่นเต้นในชีวิต มันมอบพลังในการใช้ชีวิตแต่ละวัน และมอบเหตุผลของการตื่นในทุก ๆ เช้าของเรา
คนดัง วีรบุรุษที่ยิ่งใหญ่ ผู้ประสบความสำเร็จล้วนมีความหลงใหลกันทั้งสิ้น เช่น
- Martin Luther King เขามีความหลงใหลที่อยากจะเห็นทุกคนมีสิทธิที่เท่าเทียมกันไม่ว่าจะผิวใดก็ตาม
- Steve Jobs ด้วยความหลงใหลอยากสร้างการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยี มันผลักดันเขาให้สร้าง Apple ขึ้นมา (Jobs เป็นหนึ่งคนที่ให้ความสำคัญกับความหลงใหลอย่างมาก เขาบอกว่า “ผู้คนบอกว่าคุณต้องมีความหลงใหลในสิ่งที่คุณทำ ซึ่งมันเป็นความจริงทั้งหมด”
- Bill Gates หลงใหลในคอมพิวเตอร์มาตั้งแต่วันแรกที่ได้จับคอมพิวเตอร์ ความหลงใหลนั้นผลักดันเขาให้สร้าง Microsoft ขึ้นมา
- Walt Disney หลงใหลในการวาดรูปตั้งแต่เด็ก เมื่อมีเวลาเขาจะวาดรูปตลอดเวลาจนในที่สุดมันผลักดันเขาให้สร้างอาณาจักรดิสนีย์ ดินแดนแห่งความสุขได้สำเร็จ
ซึ่งความปรารถนา ความฝันที่ขับเคลื่อนด้วยความหลงใหลนั้นจะนำพาเราไปสู่ผลลัพธ์ที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต และไม่เพียงแค่ความสำเร็จเท่านั้น แต่มันยังให้ความสุขด้วย
10 เหตุผลทำไมคุณถึงต้องมีความหลงใหล (Passion) ในชีวิต
เป้าหมายในชีวิต
ความหลงใหลจะมอบเป้าหมายในชีวิต

เราทุกคนต่างแสวงหาความหมายและจุดมุ่งหมายในชีวิต เราต้องการเติมเต็มทั้งในชีวิตส่วนตัวและในชีวิตการทำงาน และเราคาดหวังให้ทุกอย่างเชื่อมโยงกับจุดมุ่งหมายส่วนตัวของเรา
แต่การที่เราจะรู้จุดมุ่งหมายในชีวิตได้ ก็ใช่ว่าจะเป็นเรียกง่าย แต่มีสิ่งหนึ่งที่เป็นจะบอกเราได้ว่าจุดมุ่งหมายในชีวิตของเราคืออะไร นั่นก็คือ ความหลงใหล
ถ้าเราค้นพบความหลงใหลของตัวเอง เราก็จะค้นพบเป้าหมายว่าเราเกิดมาบนโลกใบนี้เพื่ออะไร และจะสัมผัสถึงบางสิ่งที่ยิ่งใหญ่มากกว่าการทำเพื่อตัวเองคนเดียว
แล้วเราจะพบว่าทุก ๆ เช้าที่ตื่นขึ้นมานั้นเราตื่นมาเพื่อสิ่งใด
ชีวิตนั้นแสนสั้น
ความหลงใหลทำให้เราตระหนักถึงคุณค่าของเวลาในชีวิต
ชีวิตคนเรานั้นสั้นและเปราะบางมาก เราไม่รู้ว่าในอนาคตจะเกิดอะไรขึ้นกับเรา เราเกิดมาบนโลกนี้ อยู่ไม่ถึงร้อยปี เป็นเวลาแค่ชั่วครู่หนึ่งของจักรวาล เรามีอายุขัย และมาอยู่ที่นี่ชั่วคราว ดังนั้น อย่ามัวเสียเวลาทำสิ่งที่เราไม่ได้รัก ไม่ได้หลงใหลเลย
เมื่อเราพบความหลงใหลของตัวเองแล้ว เราจะพบว่าเวลาแต่ละวินาทีนั้นมีคุณค่ามาก เราจะทำเฉพาะสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขและมีค่ามีความหมาย
ชีวิตนั้นสั้นเกินกว่าจะทำสิ่งที่เราไม่ได้มีความสุข และเรามีเพียงหนึ่งชีวิต ทำในสิ่งที่รัก และเมื่อวันสุดท้ายมาถึง เราจะไม่เสียดายในการเกิดมาครั้งนี้
เราจะมีความสุขในชีวิตมากขึ้น
ความหลงใหลจะมอบชีวิตที่มีความสุขในทุก ๆ วัน

เมื่อได้ทำตามความปรารถนาในชีวิต ชีวิตโดยรวมของเราจะมีความสุขมากขึ้น เราจะรู้สึกพึงพอใจกับตัวเองและการตัดสินใจของตัวเอง เราจะรู้สึกมีกำลังใจและมีไอเดียต่าง ๆ ที่จะอยากรังสรรค์ชีวิต เพราะเรารู้ว่าทุกสิ่งที่เราทำไปนั้นเพื่ออะไร
แม้มันจะยากเพียงใด เราจะทำด้วยความเต็มใจ ทำด้วยรอยยิ้ม เพราะเราได้รับผลตอบแทนคือความสุข ทุกครั้งที่ได้ลงมือทำสิ่งที่เรารักและหลงใหล
เราจะมีความสุขมากแค่ไหน ถ้าได้ทำสิ่งที่รักทุก ๆ วัน?
ไม่ต้องทำงานไปตลอดชีวิต
ความหลงใหลจะมอบความรู้สึกที่เหมือนไม่ต้องทำงานอีกตลอดไป
การได้ทำตามสิ่งที่เราหลงใหลหรือสิ่งรักเพื่อหาเลี้ยงชีพนั้นจะทำให้เราไม่รู้สึกว่าสิ่งที่ทำนั้นเป็นงานอีกต่อไป เราจะไม่ต้องลืมตาขึ้นวันใหม่ด้วยความเฉาที่รู้ว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงจะต้องไปทำงานที่เราเกลียดตั้งแต่ 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นอีกต่อไป
เราจะตื่นขึ้นมาด้วยพลังงาน ความกระตือรือร้นที่จะเริ่มต้นวันใหม่เพื่อออกวิ่งไล่ตามสิ่งที่เราอยากทำจริง ๆ ซึ่งเราทำสิ่งนั้นด้วยความรู้สึกไม่ได้เป็นงานอีกต่อไป
ให้คุณค่าแก่ผู้คนอื่นมากขึ้น
ความหลงใหลจะมอบความอยากทำให้มันออกมาดีที่สุด

ลองคิดดูว่า 2 คนทำงานเหมือนกัน แต่อีกคนหลงใหลในงานนั้น ผลลัพธ์ที่ออกมาย่อมแตกต่างกันอย่างแน่นอน
เพราะทุกครั้งที่เราทำในสิ่งที่รักและหลงใหล เราจะลงมือทำมันด้วยความทุ่มเท ความพิถีพิถัน ใส่ใจ เต็มใจและอยากทำให้มันออกมาดีที่สุด และไม่สนใจค่าตอบแทน ผลลัพธ์ที่ได้คือ เราจะส่งมอบคุณค่าให้ผู้อื่นมากขึ้นโดยธรรมชาติ
ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
ความหลงใหลจะทำให้เรายืนหยัดไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ
เป็นเรื่องง่ายที่เราจะยอมแพ้เมื่อไล่ตามเป้าหมายและความฝัน ถ้าไม่ได้ทำในสิ่งที่เรารักหรือหลงใหล
เมื่อเรากำลังลุยกับสิ่งที่เรารักและหลงใหล เป็นเรื่องธรรมชาติที่เราจะยืนหยัดมากกว่า เราจะอดทนมากขึ้น ไม่ยอมแพ้ง่าย ๆ เราจะสนุกกับระหว่างทาง ถึงแม้จะยากลำบากแค่ไหน เราจะดิ้นรนหาทุกวิถีทางเพื่อก้าวไปข้างหน้า เช่น หากเรารักการร้องเพลง เราจะร้องเพลงต่อไปแม้ใน YouTube ของเรามียอดคนดูเพียง 10 ครั้ง
เพิกเฉยต่อคำพูดคนอื่น
ความหลงใหลจะมอบความกล้าที่จะปฏิเสธเสียงของคนอื่น

เป็นเรื่องง่ายที่เรายินยอมให้คนอื่นมาทำให้เรารู้สึกแย่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรากำลังวิ่งไล่ตามความฝัน ผู้คนมักจะพยายามบอกให้เราหยุด อยู่กับโลกความเป็นจริงเถอะ แต่ถ้าเราได้ทำสิ่งที่เรารัก เราจะได้เรียนรู้ที่จะเพิกเฉยต่อคนกลุ่มนี้ เพราะการได้ทำสิ่งที่รักนั้น มีค่า มีความหมายมากกว่า แล้วเราจะไม่แคร์แล้วก้าวข้ามพวกเขาไปได้
กลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง
ความหลงใหลจะมอบความรู้สึกเหมือนตอนเราเด็กอีกครั้ง
เมื่อเรายังเป็นเด็กน้อย เราจินตนาการ ฝันถึงความหลงใหลในชีวิตด้วยการเป็นนักบินอวกาศ นักผจญเพลิง นักวิทยาศาสตร์ นักโบราณคดี หรือแพทย์
เราคิดถึงวิธีที่เราจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นหรือออกไปผจญภัยโลกกว้าง แต่เมื่อเราเติบใหญ่ขึ้น ชีวิตเราเต็มไปด้วยความจริงที่สังคมโยนให้เรา แล้วเราก็ละทิ้งความหลงใหล ความฝันในวัยเด็กไป
แต่เมื่อเราค้นพบสิ่งที่หลงใหล เราจะรู้สึกกลับไปเป็นเด็กอีกครั้ง เราจะมีความสุขแบบเด็ก ๆ ที่ตื่นขึ้นมาด้วยความกระตือรือร้นที่อยากจะออกไปทำในสิ่งที่รัก สิ่งที่หลงใหล
เพิ่มการโฟกัส
ความหลงใหลจะช่วยเพิ่มทักษะการโฟกัส
เมื่อเราได้ทำในสิ่งที่รักหรือหลงใหลเราจะอยากทำมันให้ออกมาสมบูรณ์ถูกต้องที่สุด ส่งผลให้เราใส่ใจและโฟกัสกับมันมากขึ้น ซึ่งจะทำให้เราเข้าสู่สภาวะ Flow คือ สภาวะที่เสียงรบกวนภายนอกแทบจะไม่สามารถส่งผลอะไรต่อเรา เราจะทำสิ่งนั้นจนหลงลืมเวลา
ซึ่งทำให้งานของเราออกมาด้วยงานคุณภาพและผิดพลาดน้อยลง จึงเป็นการเพิ่มโอกาสการประสบความสำเร็จไปในตัวด้วย
กระตือรือร้น
ความหลงใหลจะมอบความกระตือรือร้นที่อยากตื่นมาลงมือทำมัน

ความหลงใหลจะมอบความกระตือรือร้นที่อยากตื่นมาลงมือทำมัน
เมื่อได้ทำสิ่งที่รักหรือหลงใหล เราจะรู้สึกตื่นเต้น มันจะทำให้เรากระตือรือร้นที่อยากจะลงมือทำมัน กระตือรือร้นที่อยากจะรีบลุกขึ้นจากเตียงมาลงมือทำมัน และไม่ต้องมีใครมาบอกให้ทำ เราจะลงมือทำมันด้วยความกระตือรือร้นเอง
ซึ่งสิ่งนี้ยังส่งต่อคนรอบข้างด้วย ผู้คนที่อยู่ใกล้เรา จะสัมผัสถึงพลังงานเหล่านี้ด้วย
บทสรุป
หากมีความหลงใหล เราจะมีภูมิต้านทานมากขึ้นเมื่อเผชิญกับอุปสรรค และสามารถเอาชนะความยากลำบากนั้นได้ และที่สำคัญเราจะสนใจที่จะทำเพื่อเงินน้อยลง แต่ทำเพื่อความสุขมากขึ้น
ยิ่งคนที่มีความหลงใหลในสิ่งที่พวกเขาทำมากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งมีแนวโน้มที่จะทำงานหนักและพัฒนาตัวเองมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งเพิ่มโอกาสให้ประสบความสำเร็จมากขึ้น
ใช่ ความหลงใหลอาจไม่รับประกันความสำเร็จของเรา แต่มันสามารถเพิ่มโอกาสที่จะประสบความสำเร็จและมีความสุขมากกว่าอย่างแน่นอน
จงรักษาความหลงใหลในชีวิตของเราให้ลุกโชนอยู่ตลอดเวลา ทำทุกอย่างด้วยความรัก แล้วเราจะไม่เสียใจที่ได้ตัดสินใจทำมัน
แล้วพบกันที่ปลายทางของความสำเร็จครับ! 💪
Leave a Comment