สวัสดีครับ👋 ปี 2021 เพื่อน ๆ เป็นอย่างไร ได้บทเรียนชีวิตอะไรกันบ้าง?
สำหรับผมก็ได้เรียนรู้ค่อนข้างเยอะเลย ถ้าให้เปรียบเทียบปีนี้เปรียบเหมือนย่อสิ่งที่ได้เรียนรู้ 3 ปีให้เหลือเพียง 1 ปี เป็นปีที่ยากสำหรับทุกคน รวมทั้งตัวผมด้วย แต่ด้วยความยากนั้น นำพาบทเรียนมาเสิร์ฟให้เราได้เรียนรู้ และเติบโต ผมได้เรียนรู้อะไรมากจริง ๆ กับปี 2021 และมันก็ผ่านไปเร็วมากด้วยครับ
ชีวิต คือ การเติบโตที่แฝงด้วยบทเรียน ผมได้นั่งคิด และรวบรวม 21 บทเรียนที่ได้เรียนรู้ในปี 2021 เหตุผลส่วนหนึ่งเพราะอยากเก็บไว้ให้ตัวเองได้อ่านในอนาคต จะได้เห็นว่าเรามีมุมมองในปีนั้น ๆ ยังไงบ้าง ซึ่งเป็นสิ่งที่มีคุณค่าทางประสบการณ์อย่างมาก เพราะประสบการณ์นี้แหละเป็นรากฐานการสร้างสรรค์ชีวิตในอนาคตของเรา
บทเรียนที่ชีวิตที่ได้เรียนรู้ในปี 2021 ทั้งหมด 21 บทเรียน เรามาเริ่มถอดบทเรียนกันครับ!
- บทเรียนชีวิตที่ 1 ชีวิต คือ ความเปลี่ยนแปลงที่แนบความไม่แน่นอนมาด้วย
- บทเรียนชีวิตที่ 2 เลิกแคร์สายตาคนอื่น
- บทเรียนชีวิตที่ 3 ชีวิต คือ การลงทุนกับตัวเราเองอยู่เสมอ
- บทเรียนชีวิตที่ 4 เราจะมีวันที่ดี และวันที่แย่ สลับกันไปมา
- บทเรียนชีวิตที่ 5 ชีวิตต้องการความหวัง ความฝัน และเป้าหมาย
- บทเรียนชีวิตที่ 6 เราเป็นเช่นสิ่งที่เราเสพ (Input = Output)
- บทเรียนชีวิตที่ 7 ถ้ารู้สึกไม่มีความสุข จงถอยออกมาจากสิ่งนั้น
- บทเรียนชีวิตที่ 8 พลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุด คือ กำลังใจ
- บทเรียนชีวิตที่ 9 เวลา คือ สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด (ถ้าเรารู้จักมัน)
- บทเรียนชีวิตที่ 10 ศิลปะแห่งการบริหารความหวังสำคัญ
- บทเรียนชีวิตที่ 11 ฝึกมองชีวิตว่า คือ เกม
- บทเรียนชีวิตที่ 12 เราพึ่งพาทุกความคิดไม่ได้
- บทเรียนชีวิตที่ 13 มีชีวิตอยู่แต่ในวันนี้
- บทเรียนชีวิตที่ 14 ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งตระหนักรู้ซึ้งว่า เรารู้น้อยมากเท่านั้น
- บทเรียนชีวิตที่ 15 ทัศนคติสำคัญกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
- บทเรียนชีวิตที่ 16 ความสุขมาก่อนความสำเร็จ
- บทเรียนชีวิตที่ 17 วางมุมมองกับทุกเรื่องไว้ 99.99% เสมอ
- บทเรียนชีวิตที่ 18 ใช้ชีวิตวันต่อวัน
- บทเรียนชีวิตที่ 19 ลงมือทำ ลงมือทำ ลงมือทำ
- บทเรียนชีวิตที่ 20 ยิ่งคิดถึงความตาย ยิ่งใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
- บทเรียนชีวิตที่ 21 สักวันหนึ่ง เราก็จะต้องจากโลกนี้ไป
- สรุป
บทเรียนชีวิตที่ 1 ชีวิต คือ ความเปลี่ยนแปลงที่แนบความไม่แน่นอนมาด้วย
ในยุคที่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลัน ทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับชีวิต คงจะหนีไม่พ้นการปรับตัว ความยืดหยุ่น และความสามารถในการโอบกอดความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้น
ชีวิตนั้นประกอบขึ้นด้วยอนุภาคที่คาดการณ์ไม่ได้ อย่าใช้เวลากับการคอยคาดการณ์อนาคตนัก หยุดคาดการณ์ เปลี่ยนมาเป็นการเตรียมตัวต้อนรับความเปลี่ยนแปลงให้พร้อม
หันมาทำปัจจุบันให้เต็มที่ พร้อมตักตวงความสุขจากมันให้ได้มากที่สุด
อ้าแขนยอมรับทุกสิ่งที่ชีวิตหยิบยื่นให้ สนุกกับการเดินทางที่มีความผันผวน จังหวะที่ไม่แน่นอนของชีวิต
บทเรียนชีวิตที่ 2 เลิกแคร์สายตาคนอื่น
น่าเสียดายที่หลายคนใช้ชีวิตด้วยการวาดระแวงว่าคนอื่นจะคิดยังไงกับเรา ถ้าเราทำสิ่งนี้ สิ่งนั้น คนอื่นจะคิดยังไง ลืมเถอะครับ เพราะผมได้ข้อสรุปว่าสุดท้ายแล้ว ทุกคนต่างมีเรื่องของตัวเองให้ต้องคิด คนอื่น ๆ แทบไม่ได้คิดอะไรเกี่ยวกับเรามากเท่าไหร่หรอก ทุกอย่างเป็นสิ่งที่เราคิดเองขึ้นมาทั้งนั้น ลองสังเกตตัวเองดูว่าเราคิดเรื่องของคนอื่นมากแค่ไหนกัน 99% ของสิ่งที่เราคิดแต่ละวันเกี่ยวข้องกับตัวเราเองทั้งนั้น
เมื่อเราให้คุณค่ากับความเห็นของคนอื่นมากกว่าตัวตนของเรา มันจะส่งผลต่อการตัดสินใจในชีวิต สุดท้ายแล้ว เราจะมาเสียใจภายหลังว่า ทำไมเรามัวไปทำให้คนอื่นถูกใจ ทำไมเราไม่ทำอย่างที่เราคิดจริง ๆ
ความคิดเห็นหรือคำพูดต่าง ๆ ที่เรามอบให้ตัวเองต่างหากที่สำคัญต่อเราจริง ๆ เลิกมอบอำนาจให้คนอื่นมากำหนดการใช้ชีวิตของเรา และใช้ชีวิตในเวอร์ชันที่ไม่เหมือนใครของเรา
บทเรียนชีวิตที่ 3 ชีวิต คือ การลงทุนกับตัวเราเองอยู่เสมอ
อย่าประหยัดกับการที่จะลงทุนกับตัวเองมากนัก เช่น การซื้อคอร์สเรียน การซื้อหนังสือ การเข้าร่วมสัมมนาต่าง ๆ เพราะมันจะช่วยย่นระยะเวลาในการเรียนรู้โดยเฉพาะเทคนิคต่าง ๆ ของเราได้อย่างมาก เช่น ผมใช้เวลาทำสิ่งนี้จากต้องใช้เวลาหลายเดือน แต่แค่ไปลงเรียนคอร์สบางคอร์ส (ที่ดีจริง ๆ) มันก็จะปลดล็อกบางอย่างของเราได้ ทำให้เราไม่ต้องเสียเวลาไปลองผิด ลองถูก นี่คือมูลค่าที่เราต้องคอยคิดไว้ด้วย
เพราะไม่ใช่ทุกการใช้เงินทอง หมายถึง การเสียเสมอไป จงใช้เงินซื้อทางลัด
ไม่มีสินทรัพย์ไหนมีมูลค่าเท่าสินทรัพย์ตัวเรา ยิ่งลงทุนกับสินทรัพย์ตัวเรามากเท่าไหร่ ผลตอบแทนก็ยิ่งทวีคูณมากเท่านั้น ซึ่งอยู่ภายใต้กฎทางการเงิน คือ ดอกเบี้ยทบต้น (Compound Interest) คือ ยิ่งนาน ยิ่งทวีคูณผลตอบแทน
และทรัพย์สินที่ชื่อว่า “ตัวเรา” เป็นสินทรัพย์เดียวที่ไม่ว่าจะเป็นใครก็เอาไปจากเราไม่ได้ (ยกเว้นเราจากโลกใบนี้)
ลงทุนกับตัวเอง นี่คือชีวิตของเรา ทำไมเราจะไม่ลงทุนกับมันบ้าง
บทเรียนชีวิตที่ 4 เราจะมีวันที่ดี และวันที่แย่ สลับกันไปมา
ใน 365 วันใน 1 ปีของชีวิต เราทุกคนต่างจะต้องเจอกับสภาพอากาศที่แตกต่างกัน บางวันมีแดด บางวันร้อนแล้ง บางวันฝนตก บางวันลมแรงพายุกระหน่ำ ซึ่งแน่นอน เราควบคุมเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้ เช่นเดียวกับชีวิต เราก็ต่างมีวันที่ดี และวันที่แย่ ปน ๆ กันไป ซึ่งเรามักจะควบคุมไม่ได้ เพราะอิทธิพลที่ทำให้เป็นวันที่ดี วันที่แย่ ส่วนใหญ่มักเกิดจากส่วนผสมของผู้คน ข้อมูลข่าวสาร พื้นที่ ธรรมชาติ
ดังนั้น เราต้องคอยบอกตัวเองเสมอว่า ในวันที่แย่ มันมาแล้ว มันก็จะผ่านไป เช่นทุกครั้ง ในวันที่ดี มันมาแล้ว มันก็จะผ่านไป เช่นทุกครั้งเช่นกัน แล้วมันจะผ่านไป คำนี้ใช้ได้เสมอ
ถึงอย่างนั้น ก็ขอให้พอจบ 1 ปี เรามีวันที่ดีในชีวิตมากกว่าวันที่แย่ก็ถือว่าเป็นชีวิตที่โอเคแล้ว
ก่อนส่งตัวเองเข้านอน บอกตัวเองสักประโยคว่า “พรุ่งนี้จะเป็นวันที่ดี” ราตรีสวัสดิ์ตัวฉัน
บทเรียนชีวิตที่ 5 ชีวิตต้องการความหวัง ความฝัน และเป้าหมาย
ชีวิตเรียกร้องเหตุผลของการมีชีวิตอยู่กับเราเสมอ หน้าที่สำคัญที่สุดในฐานะมนุษย์ คือ การมอบความหมาย มอบเป้าหมาย มอบความฝันให้แก่ชีวิต แล้วชีวิตจะพยายามทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้รับสิ่งนั้นมา
ชีวิตที่ปราศความหวัง ความฝัน และเป้าหมาย ไม่ได้แย่ แต่มันไม่ได้ทำให้หัวใจของเราตื่นเต้น
เมื่อเราเปิดโอกาสให้ตัวเองได้จินตนาการถึงการใช้ชีวิตในแบบที่ต้องการ เติมเชื้อเพลิงแห่งความหวัง ความฝัน และเป้าหมาย แล้วลงมือทำทุก ๆ วันให้เต็มที่ ชีวิตเราจะมีความหมายมากยิ่งขึ้น เราจะรู้ว่าอยากนอนช้าลง แต่อยากตื่นเช้าขึ้น ตื่นโดยที่ไม่ต้องมีนาฬิกามาปลุก ตื่นมาด้วยความหมาย
บทเรียนชีวิตที่ 6 เราเป็นเช่นสิ่งที่เราเสพ (Input = Output)
คงยากนักที่จะปฏิเสธว่า สิ่งที่เราเป็นทุกวันนี้ ล้วนเป็นผลมาจากสิ่งที่เราเคยนำเอาเข้ามาในอดีต เราเป็นเช่นวันนี้ เพราะอดีตที่เราเลือกนำเอาเข้ามาใส่ในชีวิตของเรา
สิ่งนี้ยิ่งเน้นย้ำ จากที่ปีนี้ผมได้อ่านหนังสือกว่า 200 เล่ม สิ่งที่เห็นได้ชัดกับตัวเองคือ เรามีแนวโน้มความคิด และทำตามสิ่งที่เราอ่าน เราเสพ (อ่านรายชื่อหนังสือที่อ่าน -> Reading List)
มันคงเป็นกฎธรรมชาติเดียวกันที่ว่า ถ้าเรากินสิ่งที่ดี ร่างกายของเราก็จะดีด้วย เช่นกัน ถ้าเราให้อาหารสมอง อาหารจิตใจที่ดี เราย่อมได้รับการขับถ่ายที่ดีจากสมองและจิตใจด้วย
เราอยากเป็นอะไร อยากคิดยังไง อยากทำแบบไหน ก็ลองไปหาสิ่งที่เป็นวัตถุดิบของมัน แล้วนำมาใส่ในชีวิตของเรา แล้วเราจะได้ผลลัพธ์ตามนั้น เช่น ผมอยากมีความอดทนมากขึ้น ก็ไปอ่าน ฟัง ดูเนื้อหาเกี่ยวกับความอดทนให้มาก ๆ แล้วเราจะมีความอดทนมากขึ้นเอง และเป็นไปอัตโนมัติ
บทเรียนชีวิตที่ 7 ถ้ารู้สึกไม่มีความสุข จงถอยออกมาจากสิ่งนั้น
ไม่มีอะไรมีความหมาย ถ้าเราไม่มีความสุข ชีวิตสั้นเกินกว่าจะอยู่กับสิ่งที่ทำให้เราไม่มีความสุข ปีนี้ผมได้ลองทำสิ่งนี้ครับ สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ เรารู้สึกดีกับชีวิตตัวเองขึ้นมาก เรียกว่า วัดค่าไม่ได้ และรู้สึกภูมิใจกับตัวเองที่เลือกที่จะเข้าข้างตัวเอง เลือกที่จะให้ยินยอมให้ตัวเองมีความสุข
ถ้าไม่รู้ว่าจะตัดสินใจยังไง ลองใช้วิธีนี้ คือ เอามือจับหน้าอกด้านซ้ายของตัวเอง แล้วถามตัวเองว่า ถ้าเราออกจากสิ่งนี้ เราจะมีความสุขหรือเปล่า? ถ้าหัวใจเต้นแรง แสดงว่าใช่ น่าจะถึงเวลาที่เราต้องถอยออกแล้ว
มันโอเคที่จะยอมถอยตัวเราออกมา แล้วมาอยู่ในที่ที่ของเรา ที่ที่เรามีความสุข ที่ที่เราเรียกว่าเป็นบ้านของหัวใจของเรา และหัวใจของเราสำคัญกว่าสิ่งอื่นใด
เมื่อรู้สึกไม่แฮปปี้ จงถอยออกมา ใจดี เคารพตัวเราเอง เพราะความสุขอยู่ตรงนี้ ไม่ได้อยู่ตรงนั้น
บทเรียนชีวิตที่ 8 พลังขับเคลื่อนที่ทรงพลังที่สุด คือ กำลังใจ
มนุษย์เราเป็นสังคม หมายถึง เราดำรงอยู่เพื่อบางสิ่ง บางคนเสมอ แค่ได้มีใครสักคนเป็นตัวยึดเหนี่ยว ถึงแม้จะไม่เคยเจอกันก็ตาม เราสามารถแปรเปลี่ยนนั้นมาเป็นแรงผลักดันในชีวิตได้
ลองมองหาใครสักคนที่พร้อมจะคอยอยู่ข้าง ๆ เรา คอยให้กำลังใจเรา เพราะกำลังใจเปลี่ยนแปลงได้ทุกอย่าง
ทุกคนต้องการใครบางคนเสมอ บางทีเราต้องการแค่ประโยคสั้น แต่กลับทรงพลัง “เป็นกำลังใจ และไม่ต้องห่วง จะอยู่คอยข้าง ๆ นะ”
บทเรียนชีวิตที่ 9 เวลา คือ สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด (ถ้าเรารู้จักมัน)
เวลาของเราแบ่งเป็น 2 แบบ คือ เวลาที่ตาย (เวลาที่เสียเปล่า ไม่ได้ก่อประโยชน์ต่อเรา) กับ เวลาที่เป็น (เวลา ที่เราใช้ประโยชน์อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย) ทั้งสองขึ้นอยู่กับเราเลือกว่าจะให้เวลาที่เราได้มาแต่ละวันนั้นจะเป็นเวลาที่ตายหรือเวลาที่เป็น
จำเสมอไว้ว่า เวลามีจำกัด และมีค่ามากที่สุด เราจะเลือกใช้เวลาเป็นหรือเวลาตายขึ้นอยู่กับเรา
เราใช้เวลามากมายไปกับการลงทุนในสิ่งอื่น ๆ แต่เราไม่เคยหันมาสนใจลงทุนในเวลาของเราเลย ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีอะไรมาทดแทนได้
เราใช้เวลาอย่างไร ชีวิตของเราจะเป็นเช่นนั้น เราเห็นคุณค่าของเวลาอย่างไร เราก็เห็นคุณค่าของชีวิตอย่างนั้น นี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้จากปีนี้ครับ
บทเรียนชีวิตที่ 10 ศิลปะแห่งการบริหารความหวังสำคัญ
ปีนี้ได้ตกผลึกจริง ๆ ว่า สาเหตุหลักของความผิดหวัง ความทุกข์ ส่วนใหญ่แล้วมักจะเกิดจากการที่เราคาดหวังไม่ตรงกับความเป็นจริง ดังนั้นไม่สำคัญว่าเราจะคาดหวังมากขนาดไหน สิ่งที่สำคัญคือ เราต้องรู้จักบริหาร และประเมินความคาดหวังนั้น ๆ และโยนคำว่า “ถ้า” ใส่ตัวเองเสมอ เช่น ถ้าเกิดไม่เป็นอย่างที่คาดหวังล่ะ จะเกิดอะไรขึ้น เราเตรียมพร้อมเผื่อใจไว้หรือเปล่า
ยิ่งบริหารความคาดหวังได้เก่งแค่ไหน เราจะผิดหวังน้อยลง และรับมือกับโลกใบนี้ได้ง่ายยิ่งขึ้น
เราไม่มีวันได้สิ่งที่ต้องการเสมอไป คำพูดนี้เป็นความจริง จงคาดหวังในสิ่งที่เป็นความจริง คาดหวังที่ดีต่อสุขภาพใจของเรา
บทเรียนชีวิตที่ 11 ฝึกมองชีวิตว่า คือ เกม
สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ เมื่อเราเปลี่ยนชีวิตเป็นเกม แค่เปลี่ยนมุมมองนิดเดียว ก็เปลี่ยนวิธีการใช้ชีวิตได้เลย เราจะรู้สึกสนุก และชีวิตจะดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น
ชีวิต คือ เกมระยะยาวที่จะคอยมีด่านต่าง ๆ เข้ามาในชีวิตของเราไม่หยุด หน้าที่ของเราในฐานะผู้เล่น คือ สนุกและเติบโตไปกับมัน อัพเลเวลไปเรื่อย ๆ
ยิ่งเก่ง เกมยิ่งจะยาก พอเล่นชนะในเกมง่าย ๆ เราก็จะได้เล่นเกมที่ยากขึ้น ยากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ และไม่มีใครมาบอกด่านต่อ ๆ ไปให้เรา นี่คือความสนุกของเกมชีวิต เพราะเราคงหมดสิ้นความสนุก ถ้ารู้ว่าต่อไปต้องเจออะไร และจุดจบของเราจะเป็นอย่างไร
ที่สำคัญของเกมนี้ คือ อย่าลืมรักและเคารพคนอื่นที่กำลังเล่นเกมนี้กับเราด้วย
ชีวิตมีทั้งสุข และทุกข์ มองให้มันเป็นเกมที่สนุกเข้าไว้ เพราะเกมนี้ยังไม่จบ และเราต้องเล่นอีกยาว
บทเรียนชีวิตที่ 12 เราพึ่งพาทุกความคิดไม่ได้
สิ่งที่ได้เรียนรู้คือ ความคิดส่วนใหญ่ของเรามักจะเป็นเรื่องคิดไปก่อน หลงไปอยู่ในโลกของความคิดในอนาคต และเราก็เป็นนักทำนายอนาคตได้ยอดแย่มากด้วยสิ
การทำนายอนาคตนั้นไร้ประโยชน์ เพราะมันแทบไม่เคยเป็นไปอย่างที่เราคิดเลย เรามักกลัวก่อนล่วงหน้าเสมอ และโอกาสที่ความกลัวนั้น จะเกิดขึ้นจริงมีเพียงประมาณ 20%
เพราะไม่ใช่ทุกความคิด เราจะนำมาใช้ได้เสมอไป และระวังว่าเราจะเป็น และได้รับเช่นสิ่งที่เราคิดบ่อย ๆ นั้นคือวิธีที่สมองทำงาน ดังนั้น อย่าหลงเชื่อความคิดของเรามากนัก แค่รับรู้แล้วพิจารณา ถ้าดูเป็นเหตุเป็นผล ก็นำมาใช้ก็พอแล้ว ถ้าดูแล้วไม่สมเหตุสมผล ก็โยนมันเก็บไว้ก่อน
บทเรียนชีวิตที่ 13 มีชีวิตอยู่แต่ในวันนี้
ไม่มีอะไรสำคัญไปมากกว่าตอนนี้ เดี๋ยวนี้ สิ่งที่อยู่ตรงหน้าเรา และวันนี้ ฝึกที่จะชื่นชมกับสิ่งที่เป็นอยู่ เกิดขึ้นอยู่ ดำรงอยู่ ณ ตอนนี้ (ที่สำคัญมันทำให้เรากังวลน้อยลง มีความสุขมากยิ่งขึ้น) เพราะปัจจุบัน คือ ของขวัญที่ดีที่สุดที่เราจะให้ตัวเองได้ ถ้าอยากสร้างอนาคต ไม่มีอะไรดีไปกว่าการเริ่มต้นโดยอยู่กับปัจจุบัน อนาคตเป็นผลลัพธ์ของปัจจุบัน ไม่มีอะไรแท้จริงไปกว่านี้แล้ว
อย่าได้ฝากความหวัง ความฝันของเราไว้กับอนาคต วางอนาคต ปล่อยอดีต ลิ้มรสปัจจุบันขณะ มันอร่อยจริง ๆ นะ
ลดการคิดถึงอนาคตลงหน่อย แล้วเราจะมีความสุขง่ายยิ่งขึ้นนี่คือสิ่งที่ผมได้เรียนรู้
บทเรียนชีวิตที่ 14 ยิ่งเรียนรู้มากเท่าไหร่ ยิ่งตระหนักรู้ซึ้งว่า เรารู้น้อยมากเท่านั้น
ความจริง คือ ทั้งชีวิตของเรา เราอาจจะรู้ได้แค่ 0.0000000001% ของความรู้ทั้งหมดที่มนุษยชาติเรามีก็เป็นไปได้ (ตัวเลขนี้เป็นแค่การยกตัวอย่างเปรียบเทียบนะครับ)
ยิ่งได้รู้มาก ยิ่งทำให้เรารู้สึกตัวเล็กน้อยลง ถ่อมตัวมากยิ่งขึ้น ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้ว่ามีอะไรอีกมากที่เรายังไม่รู้ และจังหวะที่เราได้เรียนรู้อะไรใหม่ ๆ รู้ว่าตัวเองดีขึ้น พัฒนาขึ้น รู้มากขึ้นกว่าเราคนเดิม จะเป็นจังหวะที่ฟินอย่างมาก แล้วก็จะยิ่งมีแรงบันดาลใจในการเรียนรู้ต่อไป (สมองจะเสพติดการกระหายที่จะได้เรียนรู้สิ่งใหม่ ๆ)
ยิ่งรู้มาก ยิ่งรู้ว่ามีสิ่งที่ต้องค้นหาอีกมากมาย โลกนี้ช่างมีสิ่งให้เราค้นหาเยอะเหลือเกิน
บทเรียนชีวิตที่ 15 ทัศนคติสำคัญกว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ปีนี้เป็นปีที่สถานการณ์หนัก และยากลำบากสำหรับทุกคนจริง ๆ ถึงแม้เราจะควบคุมสถานการณ์ภายนอกไม่ได้ แต่สิ่งที่เรายังคงอำนาจสูงสุด คือ เจ้าทัศนคติ ซึ่งเจ้านี้ล่ะที่จะกำหนดว่าเราจะมองสถานการณ์นั้นอย่างไร แล้วมันจะตัดสินว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเราต่อไป
ไม่สำคัญว่าอะไรจะเกิดขึ้นกับเรา สิ่งที่สำคัญคือเราจะเลือกที่จะอธิบายสถานการณ์นั้นกับตัวเองอย่างไร
เมื่อเผชิญกับสถานการณ์ที่แย่ ขึ้นอยู่กับเราว่าจะหยิบแว่นแบบไหนมาใส่แล้วมองสถานการณ์นั้น ๆ ถ้าเราหยิบแว่นที่มองโลกแง่ร้าย เราก็จะเห็นสถานการณ์ในแง่ร้าย ตรงกันข้าม ถ้าเราหยิบแว่นที่มองโลกในแง่บวก เราก็จะหามุมมองด้านบวกต่อสถานการณ์
เราเป็นได้มากกว่าสถานการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิต ทุกอย่างขึ้นอยู่กับทัศนคติของเรา สวนแว่นมองโลกในเชิงบวกไว้ และมันจะสร้างความหวังให้เรา (ถึงแม้มันจะยาก ผมก็ทำได้ยากเช่นกันครับ แต่ก็พยายามค่อย ๆ ฝึก ฝึกไปด้วยกันครับ!)
บทเรียนชีวิตที่ 16 ความสุขมาก่อนความสำเร็จ
นี่คือสิ่งที่ตกผลึกในปี 2021 เกี่ยวกับความสำเร็จ ไม่มีอะไรสำคัญไปกว่า “ความสุข” ความสำเร็จ คือ ผลผลิตของความสุข
สิ่งที่เราเรียกว่า ความสำเร็จ มันอาจจะเป็นแค่ สิ่งที่ได้บรรลุผล (Achievement) แต่ไม่ใช่ ความสำเร็จ (Success) เพราะความสำเร็จต้องมีความสุขอยู่ร่วมด้วย
ความสุขเกิดขึ้นก่อนความสำเร็จ เมื่อใดมีความสุข ความสำเร็จก็จะโผล่หน้าตามมาติด ๆ ถ้าเปรียบเทียบ ความสุขก็คงเหมือนน้ำมันเครื่อง เราจะไม่ประสบความสำเร็จได้เลย ถ้าปราศน้ำมันเครื่องที่ชื่อว่า ความสุข เพราะทุกความสุข ก็คือ ทุกความสำเร็จ ลองเปลี่ยนจากการตั้งเป้าหมายเพื่อความสำเร็จมาเป็น ตั้งเป้าหมายเพื่อความสุขดูบ้างไหมครับ
บทเรียนชีวิตที่ 17 วางมุมมองกับทุกเรื่องไว้ 99.99% เสมอ
โลกใบนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เราคิดเสมอไป (และส่วนใหญ่เป็นแบบนั้นด้วยสิ) ปกป้องหัวใจของเราไว้ก่อน ไม่ให้แตกสลายไปกับความไม่แน่นอนที่จะเกิดขึ้นด้วยการคิดเผื่อไว้ล่วงหน้ากับทุกเรื่องว่ามีโอกาส 99.99% ที่จะไม่เป็นอย่างที่เราคิด แล้วลงมือทำให้เต็มที่กับสิ่งนั้น ๆ พร้อมยอมรับผลที่จะเกิดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็นผลลัพธ์ที่เราปรารถนาหรือตรงกันข้าม
บทเรียนชีวิตที่ 18 ใช้ชีวิตวันต่อวัน
ปีนี้เป็นปีที่ตกผลึกกับแนวคิดการดำเนินชีวิตวันต่อวัน แน่นอนว่าเราต้องเป้าหมาย มีแผนสำหรับอนาคต แต่ทุกอย่างจะเกิดขึ้นไม่ได้ ถ้าไม่สร้างในแต่ละวัน
ใช้ชีวิตแต่ละวัน ตื่นมาใหม่เริ่มต้นใหม่ เสมือนเราได้รับตั๋วใช้ชีวิตสำหรับวันนี้ ลงมือทำสิ่งที่จะต้องทำ และมีความหมาย เข้านอน หลับตาลงนอน ตื่นมาใหม่เริ่มต้นใหม่ รับตั๋ว ลงมือทำ ทำแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
ใช้ชีวิตให้ดีที่สุดในแต่ละวัน มีความสุขในแต่ละวันที่ได้ค่อย ๆ สะสมความสำเร็จ เพื่อความสำเร็จสุดท้ายที่ใหญ่กว่า
บทเรียนชีวิตที่ 19 ลงมือทำ ลงมือทำ ลงมือทำ
แค่ได้เริ่มต้นก็ถือว่าสำเร็จไปแล้วส่วนหนึ่ง เพราะการเริ่มต้นคือส่วนที่ยากที่สุด (ยากจริง ๆ ครับ แต่หลังจากการเริ่มต้นทุกอย่างจะง่ายขึ้นเรื่อย ๆ)
เราไม่มีทางรู้ 100% ถ้าไม่ลองลงมือทำมัน วางแผนไว้หลวม ๆ และเลิกคิดแล้วลงมือทำ กระโจนลงไป แม้ยังไม่พร้อม แล้วเราจะเจอคำตอบ ปรับไปตามสถานการณ์ในระหว่างทาง
ยิ่งคิด ยิ่งลงมือทำได้ยาก ต้องลงมือก่อน จึงจะได้เป็นตามใจปรารถนา เพราะการลงมือทำ คือ การสร้างความแตกต่างขึ้นในชีวิต
บทเรียนชีวิตที่ 20 ยิ่งคิดถึงความตาย ยิ่งใช้ชีวิตอย่างมีความหมาย
ไม่มีปีไหนที่ได้เห็นข่าวเรื่องความตายมากไปกว่าปีนี้แล้ว ความตายเป็นครูที่โหดร้าย แต่ก็ให้สัจธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแก่มนุษย์เรา
ในแง่หนึ่ง ยิ่งเราคิดถึงความตายมากเท่าไหร่ เราจะสัมผัสถึงชีวิตที่ละเอียดอ่อน ใช้ชีวิตอย่างมีจุดมุ่งหมายมากยิ่งขึ้น และความตายช่วยจัดระเบียบความสำคัญในชีวิต
โอบกอดความตายที่รัก ผู้คอยย้ำเตือนให้เห็นคุณค่าของชีวิต ใช้ประโยชน์จากความตาย มองความตายให้เป็นเครื่องจูงใจเพื่อกระตุ้นให้เราใช้ชีวิตอย่างคุ้มค่า และมีความหมาย
บทเรียนชีวิตที่ 21 สักวันหนึ่ง เราก็จะต้องจากโลกนี้ไป
ไม่มีความจริงแท้ใดเกินกว่าการที่ตระหนักรู้ว่า สักวันหนึ่งเรา และทุกคน ๆ ก็จะต้องจากโลกนี้ไป อาจจะเป็น 20 ปีข้างหน้า 10 ปีข้างหน้า 10 เดือนข้างหน้า 10 วันข้างหน้า หรือ 10 นาทีข้างหน้า ไม่มีใครรู้
เราทุกคนมีเวลาแค่ช่วงสั้น ๆ บนโลกใบนี้ เวลาอาจจะเดินช้าบ้าง แต่มันก็สามารถผ่านไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน
ใช้ชีวิตให้เต็มที่ และมีความหมาย พร้อมโอบกอดความจริงนี้ให้แน่น ๆ ว่า “สักวันหนึ่งเราก็จะต้องจากโลกนี้ไป”
ชีวิตนี้สั้นนัก เผลอแปปเดี๋ยวก็จะแก่แล้ว ก็จะจากลาโลกใบนี้ไปแล้ว และไม่รู้หรอกว่า เราจะล้มตัวลงกระแทกกับพื้นดินแล้วลุกไม่ขึ้นอีกตลอดกาลเมื่อใด
สรุป
ปีนี้เป็นปีที่ยากสำหรับทุกคน สำหรับผมก็เช่นกัน เพราะอยู่เฉย ๆ โลกก็โยนสถานการณ์ไวรัสที่ชื่อว่า COVID-19 ให้แก่มวลมนุษย์ มาโดยที่ไม่ถาม ไม่บอกเราล่วงหน้าเลย แต่ถึงอย่างไรชีวิตก็ต้องดำเนินต่อไป ก็ปรับเปลี่ยนไปตามสถานการณ์ เก็บบทเรียนเหล่านี้เป็นรากฐานสู่ปี 2022 เผชิญหน้ากับทุกสิ่งที่ชีวิตจะมอบให้เรา เผชิญหน้าด้วยความหวังว่ามันต้องดีขึ้น
สำหรับบทเรียน 2021 บทเรียนเหล่านี้อาจจะมีการอัพเกรด ปรับปรุง พัฒนา ขึ้นอยู่กับสิ่งที่จะได้พบในปีต่อ ๆ ไป
ขอวางปี 2021 ไว้ รีเซ็ตทุกอย่าง ที่ผ่านมา แล้วก็ผ่านไป เริ่มต้นปี 2022 ด้วยความสดใหม่ ด้วยความหวัง ด้วยความฝัน ปีใหม่นี้ขอให้เพื่อน ๆ ใช้เวลาทุก ๆ “หนึ่งชั่วโมง” เป็นเวลาพิเศษ และเมื่อถึงวันสุดท้ายของปีหน้า ก็สามารถพูดได้ว่า ปีนี้เป็น “ปีพิเศษ”
Happy New Year! ขอให้เป็นปีที่มีความหมายครับ 🥳
อ้าแขนออกกว้าง ๆ แล้วพูดว่า “สวัสดีปี 2022!”
Leave a Comment